Tuesday, December 15, 2009

เส้นทางธุรกิจมาราธอน ‘ออมสิน’

ถ้าคุณเลือกที่จะออกวิ่ง คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มองรอบ ซ้ายขวาหน้าหลังแถมยังมองไปข้างบน ได้เพื่อนหลากหลาย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ออมสินผ่านข้อจำกัดเดิมๆ ในยุคสมัยของ “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผู้อำนวยการธนาคารคนที่ 14 ผู้เล่นบทผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง

เขามองว่า การฝ่าเข้าไปบนผนังที่ตีบตัน คือการออกแรงทั้งหมด เพื่อพุ่งไปข้างหน้าให้ทะลุผ่านกำแพง

“มันเกินจุดตายของคน เกินจากจุดชนกำแพง”

ไม่ต่างอะไรกับมาราธอน กีฬา อึด ถึก ทรหด เป็นอีกหนึ่งจุดตายที่สอนให้คนมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม และทะเยอทะยานอย่างถึงที่สุด

เพราะไม่ว่าจะถึงเส้นชัยหลักกิโลเมตรที่ 42.195 สักกี่ครั้ง จุด Start และจุด Finish ก็ยังตีพุงคอยสนามถัดไปเสมอ

เลอศักดิ์ “หลงใหล” การวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ถือเป็นกีฬาประเภทเดียวที่เขาไม่เคยละทิ้งตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แม้บางช่วงขณะของชีวิตเขาจะเกิดอาการ “ได้ปลื้ม” กับกีฬาของผู้นำอย่างกอล์ฟไปบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้วเขาก็มองว่า กอล์ฟใช้เวลาเปลือง และจมอยู่กับก๊วนไม่กี่คน จนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว

“แค่ซ้อมอย่างเดียว คุณต้องฝึกหวดเป็นวันๆ 5-10 ถาด ถามว่าคุณได้อะไร แค่ได้เหวี่ยงแขนเหวี่ยงไหล่ เป็นกีฬาที่เปลืองเวลากว่าการวิ่ง แถมเวลาซ้อมกอล์ฟ เราก็ไม่ได้มีเพื่อนมากเท่ากับการวิ่ง การซ้อมกอล์ฟ ใจต้องอยู่กับลูก กับไม้ และวงสวิง แต่ถ้าคุณเลือกที่จะออกวิ่ง คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มองรอบ ซ้ายขวาหน้าหลังแถมยังมองไปข้างบน ได้เพื่อนหลากหลาย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นพลวัต และมีได้ครบทุกเพศทุกวัย”

สำหรับเขาแล้วการวิ่งทำให้ดวงตาเห็นธรรม เพราะทันทีที่สาวเท้าไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกสมองโปร่งโล่ง ดวงตาเป็นประกาย เกิดเป็นสมาธิเหมือนเวลาเดินจงกรม “อะไรที่ค้างๆ อยู่มักจะคิดออกในช่วงนี้”

ผลของการซ้อมวิ่งบ่อยๆ ครั้งละ 2 ชั่วโมง ทำให้เขามีสมาธิตลอดชั่วโมงการทำงาน ยิ่งการมารับตำแหน่งไม้หนึ่งในองค์กรที่มีประวัติยาวนาน รายละเอียดของเนื้องานมีมาก พอๆ กับชั่วโมงการประชุมยาวเหยียด การมีใจจดจ่อกับทุกเรื่องที่ทำ โดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่จำเป็นต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง

ทุกหลักกิโลของการวิ่งมาราธอน เปรียบเสมือน “ทุน” ที่ถูกเขาแปลงมาเป็น “พลังงาน” เพื่อสร้างการขับเคลื่อนให้องค์กร

“มาราธอนเป็นเครื่องวัดใจคน วัดสมาธิของคน คุณจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกปรือ เพราะการวิ่งมาราธอน โดยหลีกเลี่ยงที่จะไม่เดิน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หลักเส้นชัยกิโลเมตรที่ 42.195 ไม่ต่างอะไรกับเป้าหมายการทำงานขององค์กร”

ขณะที่การวิ่งมาราธอนต้องอาศัยการฝึกซ้อม มีการเตรียมตัว รู้เขารู้เรา มีความมุ่งมั่นพยายาม การนำองค์กรก็ไม่ต่างจากการวิ่ง ผู้นำต้องรู้จักบริหารองค์กรในทุกย่างก้าวของไตรมาส ของแต่ละเดือน เพื่อให้ได้ผลรวมของปลายทางแห่งเส้นชัย

“ถ้าไม่ได้ตามแต่ละไตรมาสที่เราตั้งไว้ เราต้องปรับปรุงแต่ละก้าว ต้องเตรียมตัวตลอดเวลา เตรียมความพร้อมตลอดเวลา แม้แต่ทุกวันก็เหมือนกัน จะทำอะไรต้องจดใส่กระดาษ ต้องบอกตัวเองว่า จะทำอะไรบ้าง ต้องสะสางเรื่องอะไร”

เขามองว่าสิ่งที่เหมือนกันระหว่างกีฬาวิ่งมาราธอนกับการบริหารองค์กรออมสินก็คือ ใช้การเตรียมความพร้อม มีต้นทุนของความขยัน มีความเพียรพยายาม เพราะสุดท้ายแล้วอะไรก็ไม่หนีจากความเพียรพยายาม

แต่สิ่งสำคัญคือ บนเส้นทางสายมาราธอน กฎเหล็กที่ต้องมีไว้เตือนตัวเองเสมอคือ ต้องไม่ใจอ่อนหยุดพักเดินแทนการวิ่ง และต้องหลีกเลี่ยงการทำตัวเองให้บาดเจ็บระหว่างทาง ขณะที่บนทางด่วนธุรกรรมสายการเงิน ก็ต้องถึงที่หมายโดยปลอดภัย โดยที่องค์กรไม่หลังเดาะ และต้องไม่เป็นที่โหล่รั้งท้ายใคร

ข้อดีของการวิ่งมาราธอนคือ เป็นกีฬาที่มุ่งเน้นสุขภาพ มากกว่าห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย เมื่อเปรียบเทียบภาพนี้กับการเติบโตขององค์กรออมสินวันนี้ เขาบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ออมสินกำลังยืนอยู่ในยุคขององค์กรที่มีสุขภาพดี (healthy organization) ท่ามกลางความผันผวนของวิกฤติการเงิน

“หลายคนบอกว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อติดลบ แต่คนของออมสินสามารถนำพาธุรกิจให้ทะยานเติบโตไปได้สูงถึง 40% ตัวเลขขนาดนี้มันก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ที่สวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”

เขาตั้งคำถามว่า อะไรคืออุปสรรคของการวิ่งมาราธอน เรื่องของระยะทาง แดดจัดในตอนเที่ยงวัน ทางชันตอนขึ้นเนิน หรือฝีเท้าที่ต้องเร่งซอยถี่เวลาลงจากเขา ทั้งหมดนี้คืออุปสรรคหรือเปล่า??? หรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่ “เป็น อยู่ คือ” ตามธรรมชาติ

“ถ้าคุณมีความพยายาม มีจิตใจที่หนักแน่น คุณเอาชนะได้ทุกสิ่ง คู่แข่ง ภาวะเศรษฐกิจ เป็นเพียงปัจจัยภายนอก ถ้าทีมงานคุณแกร่ง ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ปีนี้โบนัสออมสินไม่ต่ำกว่า 5 เดือน กำไรไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ละวันมีคนอยากมาเป็นพนักงานออมสินนับแสนคน เพราะเรามั่นคงไม่น้อยหน้าใคร”

ขวบปีเศษที่เลอศักดิ์เข้ามานั่งทำงานอยู่ในอาคารทรงไทย หลังคาสีแดง กับความเป็นองค์กรสีบานเย็นที่ฉ่ำไปทั้งย่านสะพานควาย กับสถานะองค์กรขวัญใจรากหญ้า ที่กำกระแสเงินสดและสินเชื่อไว้ไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท

ทั้งหมดที่ได้มาเขาบอกว่า มาจากศักยภาพอันยิ่งใหญ่และซ่อนเร้นมานานหลายขวบปี ของสถาบันการเงินที่มีภารกิจเป็นสถานที่เก็บทรัพย์สินของประชาชนในชาติ ถึงแม้ตัวเลข 3 แสนล้านบาท จะไม่สามารถสะท้อนออกมาตรงๆ ถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศหรือจีดีพี แต่ถ้ามองโดยอ้อมว่า เป็นส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของคนในชาติ จากพฤติกรรมปลูกฝังการออมที่มีมาแต่อ้อนแต่ออก ถือได้ว่าวันนี้ออมสินได้ทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ก่อนผมเข้ามาทำงาน ไม่เคยคิดว่าออมสินจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นองค์กรที่ซ่อนสิ่งดีงามเอาไว้มากมาย มีวัฒนธรรมขององค์กร ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และการทำงานที่หลากหลายของคนแต่ละรุ่นมาอยู่รวมกัน”

ไม่มีความสำเร็จไหนกระโดดมาได้เพียงข้ามคืน แต่การเปลี่ยนแปลงของออมสินเพียงข้ามปีเศษ จากธนาคารอันดับที่ 5 มาสู่ธนาคารอันดับที่ 3 เขาบอกว่า มาจาก 3P ที่ดลบันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ People ให้ความสำคัญกับคน Process มุ่งเน้นกระบวนการทำงาน และ Product นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ภายใต้ศักยภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งขันในตลาด

“ผมสามารถนำองค์กรให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมอะไร ด้วยการลงมือศึกษาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน ที่ผ่านมาผมปรับกระบอกเงินเดือนขนานใหญ่ และมีผลบังคับใช้ทันที ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้คนทำงาน หน้าที่ของผู้นำคือ ต้องศึกษาในสิ่งที่ลงมือทำ ทำตามที่ได้พูดเอาไว้ ที่สำคัญต้องเอาจริงเอาจัง และสุดท้ายผลงานที่ออกมาจะสะท้อนออกมาเองว่า เราทำได้ และทำได้ทุกอย่าง จากที่ไม่เคยมีมาก่อน ยอมรับว่าความไม่เข้าใจกันกับคนในองค์กรบางส่วน เป็นธรรมดาที่ต้องมีแน่นอน แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ถือคติเรื่องการทำความดี รู้จักคำว่าให้ สุดท้ายสิ่งดีๆ ก็จะคืนกลับมา”

ก่อนหน้านี้ออมสินเป็นผู้ให้การสนับสนุนการแข่งขันวิ่งผลัดมหาสมุทรสู่มหาสมุทร ครั้งที่ 5 เส้นทางจาก จ.ชุมพร ถึง จ.ระนอง ภายใต้แนวคิดการวิ่งข้ามสองฟากมหาสมุทร จากแปซิฟิกสู่อินเดีย

ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรธุรกิจมาราธอนของออมสินวันนี้ ตราบเท่าที่อีกฟากของทะเลยังมีปลารอให้จับอีกมาก เพียงแต่ว่าต้องช่วยกันออกแรง (วิ่ง) และช่วยกันต่อเรือให้ยาวขึ้น

ถึงจะเป็นมหาสมุทรสุดขอบโลก ไม่แน่ว่าวันหนึ่งออมสินก็สามารถไปให้ถึง

วรนุช เจียมรจนานนท์

ตลาดหุ้นปี 2553 ไพบูลย์ นลินทรางกูร

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเขียนถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2553 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่ายังดูค่อนข้างยาก ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทยและของโลกจะมีความชัดเจนขึ้นมาก และหลายๆ ประเทศรวมทั้งไทยได้ออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปแล้วเมื่อไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา แต่การที่ราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 58% นับตั้งแต่ช่วงต้นปี และถ้านับจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 72% แล้ว ทำให้การคาดการณ์ทิศทางตลาดในปีหน้าทำได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะถ้าดูจากค่า Forward P/E Ratio (ค่า P/E ที่ใช้ประมาณการกำไรในปีหน้าเป็นตัวหาร) ที่อยู่ที่ประมาณ 11 เท่า ซึ่งเป็นค่า P/E ที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ราคาหุ้นได้สะท้อนถึงภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการไปมากแล้วหรือยัง?

ประเด็นที่ถูกกล่าวขานถึงอยู่บ่อยครั้งในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา และน่าจะเป็น
3 ปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในปีหน้าก็คือ
1) ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลก
2) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก โดยเฉพาะของสหรัฐ และ
3) ความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ผมได้เขียนไว้ในเดือนที่แล้วว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรุนแรงในปีนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและตลาดเงิน โดยธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจาก US Subprime Mortgage Crisis และ Global Financial Crisis แต่การที่เม็ดเงินส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินนี้ไหลเข้าสู่ตลาดทุนแทน และทำให้ปี 2009 กลายเป็นปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากปริมาณสภาพคล่องที่มากมายแล้ว ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ รวมทั้งของไทยยังได้แรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเมื่อบวกกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แย่น้อยกว่าที่คาด ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีทองของนักลงทุนทั่วโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คือ Bull Market (ตลาดกระทิง) รอบนี้ เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอานิสงส์จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางชาติต่างๆ ที่อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบ

สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเป็นกังวลมากที่สุดในช่วงนี้ก็คือ Exit Plans ของธนาคารกลางชาติต่างๆ Exit Plans ที่ว่านี้ก็คือการหยุดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และเริ่มดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนการทำลักษณะนี้ ผลที่ตามมาก็คือสภาพคล่องส่วนเกินในระบบจะลดลงและดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรจะปรับขึ้นทันที ดอกเบี้ยระยะสั้นก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นเช่นกัน ถ้านักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะต้องเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น

แต่ Exit Plans ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นยาวที่ต่ำสุดปัจจัยที่ถูกพูดถึงมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ดูเหมือนตลาดทุนจะเริ่มกังวลกับเรื่องนี้ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ) ก็มักจะออกมาสร้างความมั่นใจกับตลาดเสมอว่าจะยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีกระยะหนึ่ง เพราะความเสี่ยงของเศรษฐกิจยังมีค่อนข้างสูง ซึ่งก็ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่อง Exit Plans ของ Fed ไปได้ทุกครั้ง และทำให้ตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในขาขึ้นมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือ Fed คงไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายนี้ไปได้ตลอดทั้งปีหน้า โดยเฉพาะถ้าTrend ของอัตราการว่างงานในสหรัฐยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า Fed อาจจะต้องเริ่มทำ Exit Plans อย่างจริงจังภายในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า และอาจจะเป็นไปได้อีกว่า Fed จะต้องเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเราดูจากสถิติย้อนหลัง จะพบว่าช่วง 3-4 เดือนแรกของการขึ้นดอกเบี้ย Fed Funds Rate ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐจะมีเพียง 2 อย่าง คือ อยู่กับที่ หรือไม่ก็ปรับลดลง

ไม่เพียงแต่สหรัฐเท่านั้น ที่จะต้องทำ Exit Strategies หรือดำเนินนโยบายทางการเงินที่รัดกุมมากขึ้นในปีหน้า แต่ธนาคารกลางเกือบทุกประเทศโดยเฉพาะใน Asia ก็จะต้องลดปริมาณสภาพคล่องและปรับดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ จีน เกาหลีใต้ น่าจะเป็นประเทศแรก ๆ ใน Asia ที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและอาจจะเริ่มทำในไตรมาสแรกที่จะถึงนี้เลย

ซึ่งถ้าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่สามารถสร้าง Positive Surprise ให้กับตลาดอีกต่อไป ผมคิดว่าน่าจะเป็นการยากที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในระดับ 50-60% แบบปีนี้อีก แต่โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ เนื่องจากค่า Forward P/E Ratio ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย ก็ยังไม่ได้จัดว่าสูงจนเกินไป แต่ Potential Upside ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่น่าจะใกล้เคียงกับ EPS Growth ของปีหน้า เช่น ของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะอยู่ประมาณ 15% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลข Recurring EPS Growth ของปี 2553 ที่ประมาณการโดยสำนักวิจัย ทิสโก้ ที่ 14%

ตัวแปรสำคัญก็คือ Timing ในการทำ Exit Strategies ถ้า Fed ยังคงเป็นห่วงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และไม่รีบร้อนทำ Exit Strategies โดยใช้วิธีค่อย ๆ ดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ก็มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่าระดับของ EPS Growth ในทางกลับกัน โอกาสที่จะเกิด Correction ในปีหน้าก็ยังมีอยู่ ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวตามคาด หรืออัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ก็ไม่น่าจะเป็น Correction ที่รุนแรงมากนัก น่าจะเป็นลักษณะของ Bull Market Correction หรือการพักฐานเพื่อปรับขึ้นต่อไปมากกว่าที่จะเป็น จุดเริ่มต้นของ Bear Market

พบกันใหม่ปีหน้าครับ สวัสดี

ไพบูลย์ นลินทรางกูร

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้

Tuesday, November 3, 2009

ซื้อรถส่วนตัว vs. นั่งแท็กซี่

เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ถามความเห็นผมว่า เธอควรจะซื้อรถส่วนตัวมาขับ หรือว่าควรจะนั่งแท็กซี่ไปทำงานทุกวันต่อไปดี
หลังจากได้มีโอกาสขบคิด เพื่อหาคำตอบของคำถามนี้ ผมก็ได้ค้นพบด้วยว่า ปัญหาในชีวิตประจำวันที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นคำถามนี้ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์หลายอย่างสามารถนำมาช่วยได้เยอะมาก

อย่างแรก เวลาคุณจะคิดต้นทุนของการเป็นเจ้าของรถส่วนตัว คุณต้องไม่รวมราคารถยนต์เข้าไปทั้งคัน แต่ต้องนับเฉพาะค่าเสื่อมราคาในช่วงที่ใช้งานเท่านั้น เธอบอกว่า เธอกลัวการซ่อมรถยนต์มาก เธอจึงวางแผนจะซื้อรถยนต์มือหนึ่ง เพื่อใช้งานแค่ห้าปีแล้วเปลี่ยนคันใหม่เลย เช่นนี้ต้นทุนการใช้รถยนต์ห้าปีของเธอจึงเท่ากับราคารถคันใหม่ทั้งคันหักด้วยราคาขายต่อเมื่อครบห้าปี (ประเมินจากตลาดรถมือสอง) แล้วบวกด้วยค่าน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่ประมาณได้ตลอดห้าปีเท่านั้น ไม่ใช่นับราคารถทั้งคัน

หลักคิดแบบนี้ตรงกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ข้อหนึ่งที่ว่า เวลาเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่เราสนใจ คือ ต้นทุนจม (Sunk cost) ของทางเลือกนั้นเท่านั้น เพราะว่าต้นทุนจมเป็นต้นทุนที่จะเรียกคืนกลับมาไม่ได้อีก หลังจากที่ได้ตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้นไปแล้ว มันจึงเป็นต้นทุนที่เราต้องสนใจ รถยนต์ที่ซื้อไปแล้วยังสามารถเปลี่ยนใจขายต่อได้เสมอ ดังนั้น ต้นทุนจมจึงได้แก่ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์เท่านั้น เพราะเป็นส่วนที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ไม่ใช่ราคาของรถทั้งคัน

ในทางตรงกันข้าม คนเราไม่ควรนำต้นทุนจมของทางเลือกใดๆ ที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ว กลับมาคิดอีก เพราะเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว เวลาที่คุณหลวมตัวซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่สนุกเอาเสียเลย แม้ว่าค่าตั๋วที่จ่ายไปจะแพงมากในความรู้สึกของคุณ แต่ทันทีที่คุณรู้ตัวว่า หนังเรื่องนี้ไม่มีค่าสำหรับคุณที่จะทนนั่งดูต่อไป คุณก็สามารถเดินออกโรงหนังได้เลยโดยไม่ต้องเสียดายค่าตั๋ว เพราะค่าตั๋วกลายเป็นต้นทุนจมตั้งแต่ตอนที่คุณจ่ายเงินออกไปแล้ว

กลับมาเรื่องรถยนต์กันต่อ เมื่อได้ต้นทุนรวมของการใช้รถยนต์ทั้งห้าปีมาแล้ว ก็นำไปหารด้วย จำนวนวันที่คิดว่าจะเดินทางไปทำงานตลอดห้าปี จะได้เป็นต้นทุนเฉลี่ยในการใช้รถยนต์ต่อวัน แล้วนำค่านี้ไปเปรียบเทียบกับค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันแต่ละวันดู

ปรากฏว่าในกรณีของเธอนั้น ต้นทุนของการใช้รถยนต์ส่วนตัวต่อวันแพงกว่าค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานของเธอไม่ได้ไกลมากนัก อีกทั้งตำแหน่งงานของเธอก็แทบไม่ต้องไปไหนมาไหนเลยระหว่างวัน การใช้งานที่น้อยมากเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายของการใช้รถยนต์ของเธอเมื่อคิดเป็นต่อวันแล้วแพงมาก นั่งแท็กซี่คุ้มกว่าเห็นๆ

ตรงนี้ทำให้นึกถึงหลักเศรษฐศาสตร์อีกข้อหนึ่งที่บอกว่า เวลาตัดสินใจเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่ต้องเปรียบเทียบ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นจากการเลือกทางเลือกนั้น ไม่ใช่ต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost)

การตัดสินใจซื้อรถส่วนตัว มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถยนต์ทั้งคันเสมอ ไม่ว่าคุณจะใช้รถมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้น แม้ว่าโดยทั่วไปการใช้รถส่วนตัวมักจะมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ แต่เนื่องจากการใช้รถยนต์มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถทั้งคัน เธอจึงต้องแบกรับต้นทุนส่วนเพิ่มนี้ไปทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่เธอใช้รถเลย การใช้รถยนต์จึงกลายเป็นทางเลือกที่ไม่คุ้มสำหรับเธอ ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นทุนเฉลี่ยของการใช้รถยนต์จะต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ก็ตาม

เหตุผลเดียวที่ยังพอจะอ้างได้ว่า การใช้รถส่วนตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเธอ ก็คือ บ้านของเธออยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก ทำให้การใช้แท็กซี่ไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ดังนั้น สุดท้ายแล้วคงขึ้นอยู่กับว่า ความสะดวกที่เพิ่มขึ้นนี้จะมีค่าต่อเธอมากพอที่จะชดเชยต้นทุนการใช้รถยนต์ที่แพงกว่าได้บ้างหรือเปล่า อันนี้คงต้องแล้วแต่ความรู้สึกของเธอแล้วล่ะครับ

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

Tuesday, September 29, 2009

Enrich Your Life : Optimization-การจัดสรรลงทุน แบบนักลงทุนสถาบัน

อาจกล่าวได้ว่าในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนหลายแห่งได้รณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณอายุมากขึ้นโดยได้ส่งเสริมให้มีการออมหลายรูปแบบทั้งโดยตรงและผ่านหน่วยลงทุนประเภท RMF และ LTF ดังนั้นผมจะไม่ใช้คอลัมน์นี้กล่าวถึงรูปแบบการออมอีกแต่จะขอกล่าวถึง กระบวนการจัดสรรการลงทุนที่นักลงทุนสถาบันกระทำกันครับ
การทำ Asset Allocation สามารถจัดได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ คือ “Strategic Asset Allocation (SAA)” และ “Tactical Asset Allocation (TAA)” โดยสัดส่วนการลงทุนของแต่ละ Asset class จะถูกกำหนดในเวทีใหญ่ หรือ “SAA” ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “Optimization” (เปรียบได้กับ Portfolio Diversification” ครับ) ในขณะที่เวทีเล็ก “TAA” จะเป็น Panel ที่ Fund manager เป็นผู้เล่นภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดโดย SAA ครับ

ท่านผู้อ่านบางท่านอาจยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าการ Optimize portfolio นั้น กระทำเพื่อ “เพิ่มผลตอบแทน” แต่จริงๆ แล้ว Optimization มิได้ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นการ “ลดความผันผวนของผลตอบแทน” ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม (Optimal) ของ Portfolio ครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่อง Optimization ผมขออนุญาตใช้เวลาสักเล็กน้อยกล่าวถึง “ความเสี่ยง” และ “สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” นะครับ

“ความเสี่ยง” ในcontext ของ Investment หมายถึง “ความผันผวนหรือความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยของตัวเอง” (พิจารณาเฉพาะ Magnitude ไม่คำนึงถึง Direction) หรือ “Standard Deviation” นั่นเอง แปลง่ายๆ ได้ว่า “หลักทรัพย์อะไรก็ตามที่ ผลตอบแทนในแต่ละวัน (หรือสัปดาห์ หรือ เดือน) มีความสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งหลักทรัพย์ประเภทที่เสี่ยงต่ำที่สุด (หมายถึง Price risk นะครับ ไม่ใช่ Credit risk) คือ เงินฝากออมทรัพย์ (Saving) เพราะเราทราบว่า เราจะได้ดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี หรือ 0.50%/365 ต่อวัน แม้ในอีก 71 วันข้างหน้า ดอกเบี้ย Saving จะถูกปรับลดลงเหลือ 0.25% ต่อปีก็ตาม ก็มิได้ทำให้ค่าความผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่ผลตอบแทน (รายวัน) ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -5% ถึง +4% หรือเพื่อให้ชัดเจนกว่านั้น ลองพิจารณาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะพบว่า ยิ่งมีความผันผวนมากกว่าดัชนีมาก โดยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -30% ถึง +25% ในแต่ละวัน

“สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” หรือ “Correlation” ในกรณีของ Investment หมายถึง ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง หลักทรัพย์แต่ละคู่ เช่น “Equity index กับ 10yr UST” หรือ “ราคาหุ้น Microsoft กับ ดัชนี Gold” หรือ “MSCI Asia (Ex-Japan) Index กับ ราคาน้ำมัน Nymex” ค่า Correlation นั้นมีค่าตั้งแต่ -1.0 ถึง +1.0 และเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา อาจกล่าวได้ว่า Correlation ที่ใกล้เคียง “+1.0” นั้น หมายความว่า ในช่วงเวลาที่นานพอ ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน และใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก

ขณะที่ Correlation ที่ใกล้เคียง “-1.0” หมายความว่า ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามกัน แต่ใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก เช่น หลักทรัพย์ A เปลี่ยนแปลง “+0.83%” ในขณะที่ หลักทรัพย์ B เปลี่ยนแปลง “-0.72%” ส่วนกรณีของ Correlation ใกล้เคียง “ศูนย์” นั้น หมายถึง ไม่สามารถหา Pattern ที่แน่ชัดระหว่างหลักทรัพย์คู่นั้นได้

จาก Concept ที่กล่าวถึงข้างต้น เราสามารถลดความผันผวนของ Portfolio return ได้โดยการเพิ่มคู่หลักทรัพย์ที่มี Negative correlation (สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่เป็นลบ) เข้าไปใน Portfolio เพื่อทำให้ Standard Deviation ของ Portfolio นั้นมีค่าต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้ Expected return ที่ต้องการ ซึ่งนี่คือ Concept ของ Optimization ครับ

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า หัวใจสำคัญของการวาง Portfolio strategy อยู่ที่ Strategic Asset Allocation (SAA) ครับ SAA เป็นการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว (1-3 ปี) มีองค์ประชุมคือ Strategist (Macro), Risk Manager, CIO และ Fund Manager เพื่อร่วมกำหนด Assumption ต่างๆ ที่ใช้ในการทำ Optimization ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ สัดส่วนการลงทุนใน Asset class ประเภทต่างๆ โดยคณะทำงานอาจกำหนดเป็น Range กว้างๆ เพื่อให้ Fund manager ที่รับผิดชอบในแต่ละ Asset class สามารถทำ Trading ภายใต้กรอบใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ ซึ่งการทำ Trading ก็คือการทำ Tactical Asset Allocation นั่นเองครับ

นักลงทุนสถาบันกลุ่ม Pension fund ที่ลงทุนในทวีปเอเชียเป็นหลักมักจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบบ้านเกิดของตนในระดับค่อนข้างต่ำราว 10-25% เนื่องจากตลาด Emerging market มีค่าความผันผวนที่สูงมาก (25-50% volatility) ในขณะที่ Pension fund ในทวีปยุโรปสามารถจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบยุโรปได้ในสัดส่วนที่สูงกว่า หรือประมาณ 30-40% เนื่องจากตลาดยุโรปมี Volatility ต่ำกว่าเอเชียมาก

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการออมของท่านเอง โดยอาจกำหนด SAA ใน 2 ปีข้างหน้าดังนี้ “หุ้น = 30-40% : ตราสารหนี้ = 40-50% : Commodities (น้ำมัน + ทอง + Soft commodities) = 0-10%”

ในช่วงเวลาที่ท่าน Bullish ในตลาดหุ้น ท่านก็ควรจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงหรือที่ 40% (จาก SAA ข้างต้น กรอบการลงทุนสำหรับหุ้นอยู่ที่ 30-40%) ในทางกลับกัน เมื่อ Bearish ท่านก็ควรลดการลงทุนมาที่ 30% ถ้าท่านได้ทำ SAA มาอย่างดีแล้ว อย่าไปหวั่นไหวกับสภาพตลาดเพราะการวัดผลการดำเนินงานของกองทุน/การลงทุนต้องดูกันยาวๆ 3-5 ปี ขึ้นไป แต่หากสภาวะการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น 1997 Crisis หรือ 2008 Lehman crisis) เราควรต้องปรับเปลี่ยน Assumption (Standard Deviation และ Correlation) ที่ใช้สำหรับหลักทรัพย์แต่ละประเภทใหม่ และทำ Optimization ใหม่อีกครั้งครับ

อาจกล่าวได้ว่า การจัดสรรการลงทุนในภาพกว้าง หรือ “Strategic Asset Allocation เป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนระยะกลาง-ยาว” และ Asset Allocation เป็นตัวกำหนดผลตอบแทนโดยรวมของการลงทุนมากกว่าการเลือกหุ้น/หรือการใช้ Cash strategy และมากกว่าการปรับ Duration ของ Port ตราสารหนี้มากมายนัก ท่านผู้อ่านต้องติดตามข่าวต่างๆ ไม่เพียงแต่เฉพาะตลาดทุนเท่านั้นแต่ต้องให้ความสำคัญกับ Liquidity ในระบบมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ และผลต่อราคา Commodities ด้วยครับ

โดย อาสา อินทรวิชัย

arsa@ayf.co.th

Monday, September 28, 2009

Dollar Carry Trade ฝันร้ายภาคสองของคนอเมริกัน

บรรยง วิทยวีรศักดิ์
หลังจากที่ชาวญี่ปุ่นต้องทนกล้ำกลืนกับธุรกรรม Yen Carry Trade มานานเกือบ 2 ทศวรรษ มาวันนี้ การทำ Dollar Carry Trade กำลังจะตามมาหลอกหลอนคนอเมริกัน ที่ยังไม่ตื่นดีจากฝันร้ายทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา

Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูก แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาจนใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% ไปอีกนานพอสมควรนั้น

นักลงทุนรายใหญ่ได้ใช้โอกาสนี้ กู้ยืมเงินดอลลาร์ด้วยต้นทุนต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อฝากกินดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว กล่าวคือ หนึ่ง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า สอง คือ สกุลเงินที่ลงทุนมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นในอนาคต

นอกจากการลงทุนง่ายๆ แบบเสือนอนกินแล้ว ยังมีคนที่กู้เงินดอลลาร์ แล้วนำไปซื้อทองคำ น้ำมันหรือหุ้นในต่างประเทศ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า และได้ประโยชน์ 2 ต่อเช่นเดียวกัน คือ กำไรจากราคาหุ้น และค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่มีโอกาสขยับสูงขึ้น

ตอนนี้ คนอเมริกันเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า การที่รัฐบาลของตนทุ่มเงินออกไปมากมาย เพื่อให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ทุ่มออกไป มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ดูเหมือนเงินมันจะไหลออกไปต่างประเทศมากกว่า

นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่จะกู้เงินแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ไปเป็นเงินสกุลอื่นนั้น ต้องมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ถูกบิดเบือนจากกลไกปกติให้อ่อนค่าไปมากขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อเงินไหลไปประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศปลายทางดีขึ้น มันก็ย้อนกลับมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ด้อยลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูกว่า

มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "กับดักสภาพคล่อง" คือ รัฐบาลทุ่มเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แต่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อบุคคล ธนาคารจึงนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดยักษ์หรือสถาบันการเงินข้ามชาติ ที่เมื่อได้เงินแล้ว ก็ขายดอลลาร์ออก นำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ปล่อยให้สหรัฐจมอยู่ในภาวะถดถอย ซึมเซาต่อไปเรื่อยๆ

และเมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้น ธนาคารกลางก็ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หนุนให้เกิดวงจรอุบาทว์ ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวังวนนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว

แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงประกาศว่า เศรษฐกิจของตนฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นัยว่าเป็นการพูดให้ประชาชนมั่นใจ จะได้เริ่มจับจ่ายใช้สอยเงินกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นบ้างบางส่วน จะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญหลายคนของสหรัฐ ต่างออกมาตอกย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่า เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้ว สินเชื่อบุคคล (เครดิตการ์ด) ในเดือนกรกฎาคมลดลง 10.5% สินเชื่อธนาคารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 342,000 ล้านดอลลาร์

ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 9.7% ในเดือนสิงหาคม นับว่าสูงสุดในรอบ 26 ปี และข่าวล่าสุดแจ้งว่า ยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 เดือน ได้กลับมาติดลบ 2.7% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบางมาก

มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงยังอ่อนตัวต่อเนื่อง และกลับเพิ่มอัตราเร่ง เมื่อเริ่มมีธุรกรรม Dollar Carry Trade มาถึงวันนี้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้ว 14% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยดูจาก Dollar index ที่เทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักๆ 7 สกุล

เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้จะไม่ทราบ แต่ท่านคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่กระตุ้นตลาดด้วยวิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะยิ่งถดถอยไปกว่านี้ การว่างงานอาจจะพุ่งถึง 20% ก็ได้

ตอนนี้ เริ่มมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่า เงินกองทุนของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐ (FDIC) กำลังร่อยหรอ หลังจากที่ชดใช้เงินให้ผู้ฝากเงินจากการที่มีธนาคารล้มทุกสัปดาห์ โดยในปีนี้ มีธนาคารล้มแล้ว 94 แห่ง หรือประมาณ 10 แห่งต่อสัปดาห์ โดย FDIC ออกมายอมรับว่ามีเงินกองทุนเหลือเพียง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มีธนาคารอีก 412 แห่ง ที่อยู่ในข่ายมีปัญหา (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป)

ดูเหมือนสหรัฐยังต้องมีเรื่องยุ่งๆ ให้สะสางอีกมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาพูด ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้ว ก็ขออย่าได้วางใจ ยิ่งมีการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade แล้วด้วย มันจะยิ่งกดไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐโงหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ

หากว่าเป้าประสงค์ของการลงทุน คือ กำไรสูงสุด ตอนนี้นักลงทุนสถาบันรวมถึงกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอเมริกัน ต่างกำลังมุ่งทำกำไรสูงสุด โดยไม่สนใจว่า นั่นกำลังทำร้ายเศรษฐกิจประเทศตนเอง

สะท้อนสัจธรรมที่ว่า "เงิน" มันไม่รู้จักคำว่า "คุณธรรม" หรอกครับ

Tuesday, September 22, 2009

เกาะติดเศรษฐกิจ : แนวคิดผ่อนกฎสินเชื่อ หลากข้อเท็จจริงที่ต้องคำนึง

เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการคลังได้เข้าหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาทางออกให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัว และสามารถทำหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น จนนำมาสู่ข้อเสนอ หรือแนวคิดให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว มีเหตุผลที่สมควรรองรับ เนื่องจากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ยังประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะจากปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจดังกล่าว ได้แผ่ขยายผลกระทบออกไป จนนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งปัญหาการว่างงานในหลายภาคส่วนของธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการผ่อนคลายกฎการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ คือ

๐ การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยที่ผ่านมา ยังคงต่ำกว่าการหดตัวของจีดีพี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ถึง ไตรมาส 2/2552 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ลดลง 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก

๐ ยังคงมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ อันเป็นผลจากมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ตามความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า

๐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ อาจยังไม่เพียงพอในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมต้น ในหลักการแล้ว หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ น่าจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้นและอาจนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด แต่เนื่องจากสินเชื่อเป็น ‘ตัวแปรตาม’ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น

๐ แนวทางการค้ำประกันสินเชื่อ แม้เป็นแนวทางที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่ก็อาจต้องระวังผลกระทบที่จะตามมา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การผ่อนคลายบางกฎเกณฑ์ตามที่หลายฝ่ายเสนอ อาทิ เกณฑ์การกันสำรองหนี้ตาม IAS 39 เกณฑ์หนี้จัดชั้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมทั้งมาตร ฐานเงินกองทุนใหม่ Basel II นั้น ในหลักการแล้ว น่าจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้น อันอาจนำมาสู่การขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลหลายด้านบ่งชี้ว่า การหดตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่ง น่าจะเป็น ‘ผล’ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการหดตัวของสินเชื่อนับจากช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ หรือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีจำนวนประมาณ 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 2.86 แสนล้านบาท (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤติ) ค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ ผลการทดสอบเชิงเศรษฐมิติยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อ มักเกิดขึ้นตามหลังจีดีพีประมาณ 1-2 ไตรมาส นั่นหมายความว่า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพียงลำพัง อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อีกสาเหตุหนึ่งของสินเชื่อที่หดตัวลง มาจากปัญหาด้านอุปทาน อันได้แก่ การเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า ซึ่งเป็นปมที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นกัน

ดังนั้นการแก้ปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปสู่แนวทางการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้น ผ่านการขาดดุลงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรักษาความต่อเนื่องไว้ให้ได้ ท่ามกลางปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ได้อย่างเต็มที่

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คงใช้เวลาในการแก้ปัญหาสั้นกว่าและอาจตอบโจทย์ปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการได้ดีกว่านั้น ก็คือ การที่ภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงบางส่วนของผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ กระนั้นก็ดีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว คงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เพราะถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีและใช้เวลานานในการแก้ไข อีกทั้งยังมีอาจนำมาสู่ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภายใต้มุมมองที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ภายใต้เงื่อนไขที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ หรือคลี่คลายลงไปนั้น

ความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชนก็คงจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่คงผ่อนปรนมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่ลดลงและการแข่งขันปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง

ท้ายที่สุดแล้ว ก็น่าจะทำให้สินเชื่อมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Thursday, September 17, 2009

ความแตกต่างของคนรวย vs คนชั้นกลาง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

คนรวย VS คนชั้นกลาง

ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า

Wednesday, September 16, 2009

แนวคิดบริหารความเสี่ยงยุคใหม่ หลังวิกฤติเลแมน บราเดอร์ส

สัปดาห์นี้ของปีที่แล้ว หลังการล่มสลายของเลแมน บราเดอร์ส เศรษฐกิจการเงินโลกได้พลิกโฉมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในแง่ของปรัชญาและปฏิบัติ ในประเด็นแรก จากที่ยุโรปและสหรัฐเคยแย่งกันเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก กลับมาถือคติ "Small is Beautiful" กันหมด ถึงขนาดที่ ลอร์ด อแดร์ เทอร์เนอร์ ประธานของหน่วยงานรัฐที่ดูแลสถาบันการเงินของอังกฤษ หรือ Financial Services Authority ได้มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากการทำรายการทางการเงินต่างๆ ของสถาบันการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ที่เรียกกันว่า Tobin Tax ทางฝั่งอเมริกา ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แนะนำให้เด็กหัวกะทิรุ่นใหม่ของสหรัฐ เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์หรือหมอ แทนที่จะเลือกเรียนวิชาด้านการเงิน เพื่อหวังที่จะไปขุดทองในวอลล์สตรีท
สำหรับในประเด็นที่สอง จะเห็นได้ว่า ศัพท์ใหม่ๆ จากบิ๊กของโลกการเงิน ทั้ง เบน เบอร์นันเก้ ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ หรือลอร์ด เทอร์เนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ‘Systemic Risk’ ‘Procyclicality’ หรือ ‘Too Big to Fail’ ต่างก็ชี้ชัดว่าโลกทางการเงินในอนาคต จะมีแนวทางการปฏิบัติที่มีระบบการบริหารความเสี่ยงเข้ามาคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับจุลภาค (Micro-prudential) และระดับมหภาค (Macro-prudential) ที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ก็คือ การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินที่มีความครบเครื่องเพื่อให้สามารถทันเกมกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในอนาคตยิ่งขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมจึงขออธิบายโดยใช้บทความที่เขียน โดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งได้วิเคราะห์ความเสี่ยงของสถาบันการเงินต่างๆ ต่อระบบเศรษฐกิจในรูปแบบ Macro-prudential โดยผลการวิเคราะห์ดังกล่าว สามารถจะนำไปใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤติ เพื่อประเมินว่าควรที่จะเรียงลำดับการช่วยเหลือสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนหลังมากน้อยเท่าไร รวมถึงเพื่อหาค่าที่เหมาะสมให้กับสถาบันการเงินต่างๆ ดำรงเงินกองทุนและมาตรการอื่นๆ

หลักเกณฑ์ของการประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงิน มีอยู่ด้วยกันสามประการ ได้แก่ หนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ (Lumpiness) และ สาม ระดับความเกี่ยวข้อง (Exposure) กับปัจจัยความเสี่ยงร่วม

ในทางทฤษฎี การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินต่างๆ จะใช้ ค่า Shapley ในการประเมินเพื่อหาระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงิน สามารถทำได้โดยทดลองดังตาราง กรณีแรก ธนาคาร A ,B และ C ทำธุรกิจเพียงธนาคารเดียวในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A, B และ C 4 หน่วย กรณีที่สอง ธนาคาร A และ B ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 9 หน่วย นั่นก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 5 หน่วย (9 ลบ 4) กรณีที่สาม ธนาคาร A และ C ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 10 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 6 หน่วย (10 ลบ 4)

กรณีสุดท้าย ธนาคาร A , B และ C ทำธุรกิจอยู่สามธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสาม 15 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 4 หน่วย (15 ลบ 11) ค่า Shapley ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของทุกกรณีของแบงก์ A จึงเท่ากับ 4.5 หน่วย

โดยค่าดังกล่าว มีข้อดีกว่าการวิเคราะห์แบบอื่น ในลักษณะที่ว่า ได้พิจารณาถึงผลของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของกิจกรรมทางการเงินกับธนาคารอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้รับการพิจารณามาก่อนในช่วงก่อนวิกฤติในครั้งนี้

จากการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินผลของหลักเกณฑ์ทั้งสามข้างต้นได้ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การเพิ่มขึ้นของระดับความเสี่ยงของระบบสถาบันการเงิน จะมีค่าที่สูงกว่าการนำระดับความเสี่ยงของแบงก์แต่ละรายมาบวกกันตรงๆ เนื่องจากผลของการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของความเสี่ยงของธนาคารแต่ละราย ทำให้ผลรวมของความเสี่ยงทั้งระบบมีค่ามากกว่าการรวมกันตรงๆ แบบพีชคณิต

หลักเกณฑ์ที่สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ มีผลต่อระดับความเสี่ยงโดยรวม ในลักษณะที่ว่ายิ่งมีจำนวนธนาคารขนาดเล็กมากขึ้นเท่าใด ระดับความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ของทั้งระบบสถาบันการเงินก็ยิ่งจะลดลง ทว่าระดับความเสี่ยงเชิงระบบ จะไปตกอยู่ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเหลือจำนวนธนาคารขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยลง จากผลการศึกษาของ BIS สำหรับระบบธนาคารที่มีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง การที่จำนวนธนาคารขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจาก 5 แห่ง เป็น 25 แห่ง จะทำให้ระดับความเสี่ยงเชิงระบบลดจาก 9.8 เป็น 9.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์ ในขณะที่ระดับความเสี่ยงเชิงระบบของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะเพิ่มขึ้นจาก 4.3 เป็น 6.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์

สำหรับหลักเกณฑ์ที่สาม เกี่ยวกับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ จากรูป จะเห็นได้ว่าเมื่อสัดส่วนของธนาคารขนาดใหญ่ต่อระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 15 เท่า จะทำให้ระดับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบสูงขึ้นเกือบ 20 เท่า นั่นคือ ยิ่งจำนวนแบงก์ขนาดใหญ่มีเยอะขึ้นเท่าไร ระดับความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจนั้น ก็จะสูงขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของธนาคารขนาดใหญ่เสียอีก

เป็นที่น่าสังเกตว่า จากวิกฤติครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าตัวแปร ความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งใช้ค่าเฉลี่ยของความเสียหายส่วนเกิน หรือ Expected Shortfall (ES) ที่สามารถวัดได้จากค่าเฉลี่ยของความเสียหาย ที่มีขนาดสูงกว่าค่าความเสียหายที่ระบบธนาคารรับได้ แต่จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัว ผมถือว่ายังประเมินความเสียหายต่ำเกินไป เนื่องจาก ES ใช้สมมติฐานของตัวแปรทางการเงินในอดีตในการคำนวณ ซึ่งหากจะเกิดวิกฤติครั้งต่อไปในอนาคต คงไม่มีใครสามารถเดารูปแบบของวิกฤติได้ นั่นทำให้จะได้ ES ของสถาบันการเงินซึ่งเป็นจุดเปราะบาง มีค่าน้อยกว่าที่เป็นจริง เนื่องจากค่าของตัวแปรทางการเงินในอดีตที่ไว้คำนวณค่าดังกล่าว ซึ่งควรมีค่าสูงขึ้นมากนั้น จะสามารถหาได้ก็เมื่อวิกฤติเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เกิดกับเลแมน บราเดอร์ส เมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ หากมองจากข้อมูลของวันเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว แม้ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละรายจะสูง แต่ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ในตอนนั้นที่คำนวณจากข้อมูลในอดีตถือว่าไม่สูงมาก หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า บทความดังกล่าวของ BIS ยังให้ความสำคัญต่อระดับความเชื่อมโยงทางการเงินในระดับที่ลึกซึ้งถึงรายการทางการเงิน กับสถาบันการเงินอื่นๆ ทั่วโลก หรือ Degree of Interconnectedness น้อยเกินไป

อย่างไรก็ดี จากเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อ ทั้งระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ซึ่งเอไอจีที่เป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว มีระดับความเสี่ยงทั้งสามอยู่สูงมากนั้น ได้ตอกย้ำถึงความจริงที่ว่า การที่ทางการสหรัฐได้เข้าช่วยเหลือเอไอจีนั้น มีส่วนทำให้โลกทางการเงินแบบทุนนิยมมิต้องถึงการล่มสลาย แม้จะต้องแลกกับภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาลก็ตาม

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

boontham@econbizview.com

Sunday, August 30, 2009

Economic value added a useful gauge

INVESTING

Economic value added a useful gauge
Writer: NANCHANOK WONGSAMUTH
Published: 31/08/2009 at 12:00 AM
Newspaper section: Business
Investors should look beyond net profits and consider alternative tools in assessing the potential value of a business, according to Aekkachai Nittayagasetwat, dean of the business school of the National Institute of Development Administration.

While most people tend to focus on net profit as a guide, Mr Aekkachai said economic profit should also be factored into any investment decision.

"If you say that this company's profit is good, you still can't really judge whether it is a good company or not. But if you look at its economic value added (EVA), and it's positive, then you can make a judgement right away," he said.

EVA in corporate finance is a means of determining the value created for shareholders. A company with a positive value means that net operating profits, after tax, is higher than the opportunity cost of capital employed.

"EVA is also a good indicator of the performance of a company's executives, and whether they are able to obtain good EVA figures, or if profits outweighs total costs [including opportunity costs]," Mr Aekkachai said.

Sukit Udomsirikul, a senior assistant managing director of Siam City Research Institute, agreed that net profits alone do not tell the whole story.

"Companies that have a good net profit might have a negative EVA," he said.

Mr Aekkachai said investors would also do well to consider market value added (MVA) as well in assessing company performance.

Market value-added is the difference between the market value of a company and the capital contributed by investors. A positive value indicates that the firm has added value for investors.

Mr Aekkachai said difficulty in identifying certain variables, such as opportunity costs, was one reason why EVA and MVA were not widely used in Thailand.

Companies listed on the Stock Exchange of Thailand with the highest EVA and MVA scores going back to 2002 include PTT Plc, PTT Exploration and Production, Siam Cement, Siam City Cement, Ratchaburi Electricity, BEC World and Bumrungrad.

Lower-profile companies with low MVA scores but high EVA include Univanich Palm Oil, Precious Shipping, BEC World, Workpoint Entertainment and SE-Education.

Mr Aekkachai said these smaller companies were often overlooked by investors, despite delivering higher economic profit than some larger firms.

"Thai investors should be ready. If we use only basic accounting tools, we will not be able to estimate actual performance," he said.

Monday, August 17, 2009

โลกในมุมมองของ Value Investor : การตัดสินใจครั้งสำคัญ

คนเราที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่การตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากไม่กี่เรื่อง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องนั้นนำไปสู่สิ่งที่ดีๆ ทั้งหลายที่ตามมา เช่น รวยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อนฝูงในแวดวงเดียวกัน หรือมีความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าจะเรียกให้เป็นศัพท์แสงที่เป็นวิชาการหรือเท่หน่อย ผมอยากจะเรียกว่าเป็น Strategic Decision หรือการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ของชีวิต
ว่าที่จริง Strategic Decision นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเรื่องใหญ่อื่นๆ เช่น ในเรื่องของธุรกิจนั้น การตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์บางอย่างหรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือกระบวนการในการทำงานบางอย่างที่สำคัญอาจจะเปลี่ยนแปลงภาพของบริษัทอย่างสิ้นเชิงและทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะที่การตัดสินใจมากมายอื่นๆ นั้น ไม่มีผลอะไรอย่างสำคัญกับตัวธุรกิจเลย

ในเรื่องของหุ้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ว่า เวลาจะลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น ให้คิดว่าในชีวิตนี้เรามีสิทธิที่จะซื้อได้เพียง 20 ตัว ดังนั้น เราก็จะต้องคิดหนักว่าเราจะซื้อตัวไหน เราจะต้องเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งสุดยอด มี “ป้อมค่ายและคูเมืองป้องกันข้าศึก” ที่ทนทานถาวร และกิจการจะต้องโตไปได้เรื่อยๆ เป็นสิบๆ ปี ถ้าคิดได้ดังนี้ การซื้อหุ้นแต่ละตัวของเราก็จะไม่ค่อยพลาด และผลตอบแทนก็จะน่าประทับใจ อย่าตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากมายไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้มักจะไม่สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตเรา เราควรตัดสินใจน้อยครั้งและเป็นครั้งสำคัญๆ เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซื้อหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิต แต่ผมเชื่อว่า อาจจะมีหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิตเท่านั้นที่สร้างความสำเร็จทั้งหมดในการลงทุนของเรา ส่วนหุ้นอื่นๆ อาจจะเป็นร้อยๆ ตัวนั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรกับผลการลงทุนของเราเลย ดังนั้น เราไปซื้อทำไม?

ในความคิดของผม ในชีวิตของคนเรานั้น มีจุดหรือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจแบบ Strategic Decision ไม่กี่เรื่องหรือไม่กี่ครั้ง ถ้าตัดสินใจถูก เราอาจจะ “สบายไปตลอด” หรือ “ประสบความสำเร็จงดงามไปเรื่อยๆ” หรือ “มีความสุขมาก” ไปอีกนาน ปัญหาที่พบก็คือ คนจำนวนมากไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่เป็น “การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต” ดังนั้น เขาไม่ได้ให้เวลาหรือให้การพิจารณาหรือวิเคราะห์อย่างเพียงพอ บางทีเขาก็อาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล ผลที่ตามมาก็คือ มันเป็นการตัดสินใจที่แย่และเขาก็ต้องรับกับความเลวร้าย หรือความสำเร็จพื้นๆ ไปตลอดไม่ว่าจะพยายามทำงานหรือต่อสู้มากแค่ไหน

การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตนั้น ถ้าจะไล่ลำดับตามช่วงอายุของคนก็น่าจะรวมถึงการศึกษา ซึ่งผมคิดว่าการเลือกสาขาที่เรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอน ถ้าเป็นเด็กที่มี “พรสวรรค์” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็ควรเลือกเรียนในแนวนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านไหน การเลือกเรียนในบางสาขาอาจจะทำให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้นมาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “คะแนนสอบ” เป็นตัวกำหนดสาขาที่เราจะเรียน

การแต่งงานเป็น Strategic Decision ที่สำคัญสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง เพราะความสุขและการประสบความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับคู่ของเรามาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “พรหมลิขิต” มากำหนดว่าเราจะแต่งงานกับใคร เราควรจะต้อง “แสวงหา” โดยการให้เวลากับการเรียนรู้กับคนที่เราคิดว่ามีโอกาสที่เราจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันยาวนาน บางคนบอกว่าอยากปล่อยให้เป็นไป “ตามธรรมชาติ” เขามักใช้เวลาไปกับ “งาน” ที่ ไม่ใช่ Strategic Decision ดังนั้น เขาอาจจะมีผลงานที่ดีในสายตาเจ้านาย แต่เขาอาจจะได้คู่ที่ไม่เหมาะสมหรืออาจจะไม่มีคู่เลย ผลก็คือ ชีวิตนี้อาจจะทำงานแทบตายแต่ไม่มีความสุขและมีเงินน้อยมาก ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้เศรษฐีนิสัยดีเป็นคู่ ซึ่งทำให้ชีวิตมีความสุขและมีเงินเหลือล้นโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก

งานที่ทำ ว่าที่จริงต้องพูดว่าสายงานที่เลือกทำเป็น Strategic Decision เลือกงานผิด ทำงานในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่โตและมีแนวโน้มค่อยๆ ตกต่ำลง อนาคตเราไม่ค่อยมีทางที่จะ “รุ่ง” ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน มันคงเหมือนการ “ว่ายทวนน้ำ” ที่จะไปได้ช้ามาก ดังนั้น ก่อนสมัครงาน คิดเสียก่อนว่าอนาคตของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ถ้าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงที่กำลังตกต่ำลงอย่างถาวร อย่าเข้าไปจะดีกว่า อย่าลืมว่า เราไม่ได้เป็น “ฮีโร่” แม้ว่าเราจะสามารถช่วยคนที่กำลังตายให้มีอายุยืดไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

สุดท้ายก็คือ การเลือกว่าเราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องไหนเป็นพิเศษ อะไรคือตัวตนของเราจริงๆ ในชีวิต พูดง่ายๆ เราอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไรเมื่อเราตายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อาจจะทำได้ยากพอสมควรทีเดียว เพราะประเด็นก็คือ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลามากในการทำหรือในการสร้างผลงาน มันต้องอาศัยการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของเราก่อน เสร็จแล้วก็ต้องเลือกว่าเราจะเป็นอะไร หลังจากนั้นเราก็ต้องเริ่มทำและทำไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นสิบๆ ปีก่อนที่เราจะบรรลุถึงสิ่งที่เราตั้งธงไว้ ดังนั้น Strategic Decision เรื่องนี้จึงต้องพยายามทำตั้งแต่อายุน้อยที่สุดที่จะทำได้ ยิ่งเราค้นพบได้เร็วเท่าไรก็มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่เราจะประสบความสำเร็จ

ผมคงจบบทความนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า การลงทุนในหุ้นนั้น เป็น Strategic Decision ที่สำคัญสำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการจะมีความมั่งคั่งทางการเงิน ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น มีความสำคัญมาก อย่าปล่อยให้ความกลัวในเรื่อง “ความเสี่ยง” กำหนดการลงทุนของเรา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ Value Investor : การตัดสินใจครั้งสำคัญ

คนเราที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่การตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากไม่กี่เรื่อง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องนั้นนำไปสู่สิ่งที่ดีๆ ทั้งหลายที่ตามมา เช่น รวยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อนฝูงในแวดวงเดียวกัน หรือมีความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าจะเรียกให้เป็นศัพท์แสงที่เป็นวิชาการหรือเท่หน่อย ผมอยากจะเรียกว่าเป็น Strategic Decision หรือการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ของชีวิต
ว่าที่จริง Strategic Decision นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเรื่องใหญ่อื่นๆ เช่น ในเรื่องของธุรกิจนั้น การตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์บางอย่างหรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือกระบวนการในการทำงานบางอย่างที่สำคัญอาจจะเปลี่ยนแปลงภาพของบริษัทอย่างสิ้นเชิงและทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะที่การตัดสินใจมากมายอื่นๆ นั้น ไม่มีผลอะไรอย่างสำคัญกับตัวธุรกิจเลย

ในเรื่องของหุ้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ว่า เวลาจะลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น ให้คิดว่าในชีวิตนี้เรามีสิทธิที่จะซื้อได้เพียง 20 ตัว ดังนั้น เราก็จะต้องคิดหนักว่าเราจะซื้อตัวไหน เราจะต้องเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งสุดยอด มี “ป้อมค่ายและคูเมืองป้องกันข้าศึก” ที่ทนทานถาวร และกิจการจะต้องโตไปได้เรื่อยๆ เป็นสิบๆ ปี ถ้าคิดได้ดังนี้ การซื้อหุ้นแต่ละตัวของเราก็จะไม่ค่อยพลาด และผลตอบแทนก็จะน่าประทับใจ อย่าตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากมายไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้มักจะไม่สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตเรา เราควรตัดสินใจน้อยครั้งและเป็นครั้งสำคัญๆ เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซื้อหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิต แต่ผมเชื่อว่า อาจจะมีหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิตเท่านั้นที่สร้างความสำเร็จทั้งหมดในการลงทุนของเรา ส่วนหุ้นอื่นๆ อาจจะเป็นร้อยๆ ตัวนั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรกับผลการลงทุนของเราเลย ดังนั้น เราไปซื้อทำไม?

ในความคิดของผม ในชีวิตของคนเรานั้น มีจุดหรือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจแบบ Strategic Decision ไม่กี่เรื่องหรือไม่กี่ครั้ง ถ้าตัดสินใจถูก เราอาจจะ “สบายไปตลอด” หรือ “ประสบความสำเร็จงดงามไปเรื่อยๆ” หรือ “มีความสุขมาก” ไปอีกนาน ปัญหาที่พบก็คือ คนจำนวนมากไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่เป็น “การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต” ดังนั้น เขาไม่ได้ให้เวลาหรือให้การพิจารณาหรือวิเคราะห์อย่างเพียงพอ บางทีเขาก็อาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล ผลที่ตามมาก็คือ มันเป็นการตัดสินใจที่แย่และเขาก็ต้องรับกับความเลวร้าย หรือความสำเร็จพื้นๆ ไปตลอดไม่ว่าจะพยายามทำงานหรือต่อสู้มากแค่ไหน

การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตนั้น ถ้าจะไล่ลำดับตามช่วงอายุของคนก็น่าจะรวมถึงการศึกษา ซึ่งผมคิดว่าการเลือกสาขาที่เรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอน ถ้าเป็นเด็กที่มี “พรสวรรค์” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็ควรเลือกเรียนในแนวนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านไหน การเลือกเรียนในบางสาขาอาจจะทำให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้นมาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “คะแนนสอบ” เป็นตัวกำหนดสาขาที่เราจะเรียน

การแต่งงานเป็น Strategic Decision ที่สำคัญสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง เพราะความสุขและการประสบความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับคู่ของเรามาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “พรหมลิขิต” มากำหนดว่าเราจะแต่งงานกับใคร เราควรจะต้อง “แสวงหา” โดยการให้เวลากับการเรียนรู้กับคนที่เราคิดว่ามีโอกาสที่เราจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันยาวนาน บางคนบอกว่าอยากปล่อยให้เป็นไป “ตามธรรมชาติ” เขามักใช้เวลาไปกับ “งาน” ที่ ไม่ใช่ Strategic Decision ดังนั้น เขาอาจจะมีผลงานที่ดีในสายตาเจ้านาย แต่เขาอาจจะได้คู่ที่ไม่เหมาะสมหรืออาจจะไม่มีคู่เลย ผลก็คือ ชีวิตนี้อาจจะทำงานแทบตายแต่ไม่มีความสุขและมีเงินน้อยมาก ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้เศรษฐีนิสัยดีเป็นคู่ ซึ่งทำให้ชีวิตมีความสุขและมีเงินเหลือล้นโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก

งานที่ทำ ว่าที่จริงต้องพูดว่าสายงานที่เลือกทำเป็น Strategic Decision เลือกงานผิด ทำงานในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่โตและมีแนวโน้มค่อยๆ ตกต่ำลง อนาคตเราไม่ค่อยมีทางที่จะ “รุ่ง” ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน มันคงเหมือนการ “ว่ายทวนน้ำ” ที่จะไปได้ช้ามาก ดังนั้น ก่อนสมัครงาน คิดเสียก่อนว่าอนาคตของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ถ้าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงที่กำลังตกต่ำลงอย่างถาวร อย่าเข้าไปจะดีกว่า อย่าลืมว่า เราไม่ได้เป็น “ฮีโร่” แม้ว่าเราจะสามารถช่วยคนที่กำลังตายให้มีอายุยืดไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

สุดท้ายก็คือ การเลือกว่าเราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องไหนเป็นพิเศษ อะไรคือตัวตนของเราจริงๆ ในชีวิต พูดง่ายๆ เราอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไรเมื่อเราตายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อาจจะทำได้ยากพอสมควรทีเดียว เพราะประเด็นก็คือ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลามากในการทำหรือในการสร้างผลงาน มันต้องอาศัยการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของเราก่อน เสร็จแล้วก็ต้องเลือกว่าเราจะเป็นอะไร หลังจากนั้นเราก็ต้องเริ่มทำและทำไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นสิบๆ ปีก่อนที่เราจะบรรลุถึงสิ่งที่เราตั้งธงไว้ ดังนั้น Strategic Decision เรื่องนี้จึงต้องพยายามทำตั้งแต่อายุน้อยที่สุดที่จะทำได้ ยิ่งเราค้นพบได้เร็วเท่าไรก็มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่เราจะประสบความสำเร็จ

ผมคงจบบทความนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า การลงทุนในหุ้นนั้น เป็น Strategic Decision ที่สำคัญสำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการจะมีความมั่งคั่งทางการเงิน ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น มีความสำคัญมาก อย่าปล่อยให้ความกลัวในเรื่อง “ความเสี่ยง” กำหนดการลงทุนของเรา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Monday, August 3, 2009

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : คิดเชิงกลยุทธ์

Value Investor ระดับเซียน ผมคิดว่าต้องเป็น "นักคิด" ที่เฉียบคม และการคิด ต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เป็นการคิดเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้ การแข่งขัน ที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายหนึ่งแพ้ หรือใครจะนำและใครจะตาม "ตำแหน่ง" ของใครดีกว่าตำแหน่งของคนอื่น และทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งขัน
ว่าที่จริง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นคนคิดว่า จะต้องใช้กลยุทธ์อะไร เขาเพียงแต่ต้องรู้ หรือดูให้เป็นว่ากลยุทธ์ หรือตำแหน่งของใครเป็นอย่างไร และดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เขาคิดและ "ตัดสิน" ว่าใครจะชนะ หรือใครได้เปรียบและอนาคตจะเป็นอย่างไร ความคิดของเขามักจะถูกมากกว่าผิด เพราะมันเป็นความคิดที่มีเหตุผลและมีหลักวิชาการที่ถูกต้อง

ความคิดที่มีเหตุผล และเป็นเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่าต้องมีการฝึกฝน และบางทีอาจเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวด้วย ดูอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอง เขาชอบเล่นบริดจ์เป็นชีวิตจิตใจ และเล่นได้เก่งมากทีเดียว บริดจ์นั้นเป็นเกมที่ต้องใช้ทั้งความคิด และความจำ และต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม การที่เขาชอบเล่นเกมนี้เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งว่า เขาชอบ "การคิดและการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้ได้ชัยชนะในการแข่งขัน"

ส่วนตัวผม เมื่อมองย้อนหลังไปในช่วงที่ยังเป็นเด็ก ผมชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับความคิด และการแข่งขันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือ การเล่นหมากรุกจีน ซึ่งผมจะเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ และเมื่อเล่นแล้ว ผมแทบจะลืมกินอาหาร

หมากรุกนั้น เป็นเกมการแข่งขันที่ต้องใช้การวางแผน โดยแผนที่ดี ต้องมีการมองไปข้างหน้าหลายๆ ก้าว นอกจากการวางแผนเพื่อเอาชนะแล้ว คนเล่นยังต้องคอยระวังและป้องกันการ "รุก" ของคู่ต่อสู้ด้วย ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหมากรุกที่ยอดเยี่ยมอะไร แต่ทุกวันนี้เมื่อมีเวลาว่าง ผมก็ยังเล่นหมากรุกจีนอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากหมากรุกจีน คนที่เล่นกันในปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีน้อยมากและต่างก็อายุมากกันแล้ว

การเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดในเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่า นอกจากจะช่วยทำให้เราคิดเก่งในการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์แล้ว ยังช่วยลับสมองเราไม่ให้เสื่อมถอยเร็วเกินไปเวลาเราแก่ตัวลงด้วย และเกมที่ผมคิดว่าช่วยฝึกสมองให้คิดแบบเชิงกลยุทธ์เราได้นั้น นอกจากบริดจ์และหมากรุกทุกประเภทแล้ว ยังน่าจะรวมถึงเกมโกะ และโมโนโปลี่

ส่วนเกมอย่างหมากฮอส หรือการเล่นไพ่อย่างเกมไพ่รัมมี่ ถึงจะต้องใช้การวางกลยุทธ์บ้าง แต่ผมคิดว่ามันยังใช้ไม่มากพอ นอกจากนั้น เกมใช้สมองอย่างอื่น เช่น เกมต่ออักษรให้เป็นคำที่เรียกว่า Cross Words หรือเกมเรียงตัวเลขอย่างซูโดกุ ผมคิดว่าไม่ใช่เกมที่ใช้กลยุทธ์เป็นหลักในการเล่น ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของการลงทุน

ลำพังการมีความสามารถเล่นเกมต่างๆ ดังกล่าวคงไม่เป็นประโยชน์กับการลงทุน นักลงทุนที่จะเก่ง ต้องคิดไปถึงเรื่องของกลยุทธ์การต่อสู้และการแข่งขันใน "ชีวิตจริง" โดยเฉพาะทางธุรกิจ การจะมีความสามารถอย่างนั้นได้ นอกจากความสามารถในการคิดแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ "วิชาการ" นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องศึกษา และต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการต่อสู้และการแข่งขันต่างๆ ให้มาก

การแข่งขันหรือการต่อสู้ที่ต้องใช้กลยุทธ์ นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสงคราม การเมือง และเชื่อไหมครับว่า เป็นเรื่องของชีวิตของเราแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง หรือคนธรรมดา ถ้าเราคิดเป็นแบบกลยุทธ์ เราก็จะเห็นว่าใครใช้กลยุทธ์อย่างไรและเขา "ชนะ" เพราะเหตุใด

ถ้าเราอ่าน หรือศึกษาโดยไม่ได้คิดแบบเชิงกลยุทธ์ เราก็จะอ่านผ่านๆ ไป และอาจคิดไปว่าคนชนะนั้น เป็นไปเพราะเหตุผลต่างๆ เช่น เขาเก่ง เขาฉลาด เขาสวยหรือหล่อ หรือแม้แต่เพราะเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "โชค"

ถ้าเราฝึกฝนการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อยู่เสมอ เราจะมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นแบบเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เรามักจะถามเสมอว่าอะไร หรือกลยุทธ์อะไรที่ทำให้คนหนึ่ง "ชนะ" อีกคนหนึ่ง "แพ้" บริษัทหนึ่งชนะและอีกบริษัทหนึ่งแพ้ องค์กรหนึ่งชนะและอีกองค์กรหนึ่งแพ้ ประเทศหนึ่งชนะและอีกประเทศหนึ่งแพ้

ดังนั้นเราจะเห็นถึงความได้เปรียบ และความเสียเปรียบของคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้ รวมทั้งรู้ว่าอะไรเป็นความได้เปรียบ "ชั่วคราว" และอะไรเป็นความได้เปรียบ "ถาวร" และนี่ก็คือสิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียกว่า Durable Competitive Advantage หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ในการลงทุนในหุ้นสุดยอดสไตล์บัฟเฟตต์

ส่วนคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการคิดเชิงกลยุทธ์ และวิชาการเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขัน ผมแนะนำว่า ควรเริ่มจากการอ่าน หนังสือกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่คนที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายได้อย่างเข้าใจง่ายและสั้น ก็คือ อัลรีส (Al Ries) ซึ่งเสียชีวิตแล้ว และแจ็คเทราท์ (Jack Trout) ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การวางตำแหน่งของบริษัทในการแข่งขัน และกลยุทธ์ต่างๆ ที่ธุรกิจใช้ในการต่อสู้กัน

หลังจากเข้าใจเรื่องกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการตลาดแล้ว เราจะเข้าใจกลยุทธ์ในเรื่องอื่นๆ อีกมาก และถ้าเราหมั่นฝึกฝนการคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเข้าใจ "เบื้องหลัง" ความสำเร็จและความล้มเหลวของแต่ละบริษัทหรือแต่ละคน และนั่นจะนำไปสู่การเลือกหุ้นลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : คิดเชิงกลยุทธ์

Value Investor ระดับเซียน ผมคิดว่าต้องเป็น "นักคิด" ที่เฉียบคม และการคิด ต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เป็นการคิดเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้ การแข่งขัน ที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายหนึ่งแพ้ หรือใครจะนำและใครจะตาม "ตำแหน่ง" ของใครดีกว่าตำแหน่งของคนอื่น และทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งขัน
ว่าที่จริง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นคนคิดว่า จะต้องใช้กลยุทธ์อะไร เขาเพียงแต่ต้องรู้ หรือดูให้เป็นว่ากลยุทธ์ หรือตำแหน่งของใครเป็นอย่างไร และดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เขาคิดและ "ตัดสิน" ว่าใครจะชนะ หรือใครได้เปรียบและอนาคตจะเป็นอย่างไร ความคิดของเขามักจะถูกมากกว่าผิด เพราะมันเป็นความคิดที่มีเหตุผลและมีหลักวิชาการที่ถูกต้อง

ความคิดที่มีเหตุผล และเป็นเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่าต้องมีการฝึกฝน และบางทีอาจเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวด้วย ดูอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอง เขาชอบเล่นบริดจ์เป็นชีวิตจิตใจ และเล่นได้เก่งมากทีเดียว บริดจ์นั้นเป็นเกมที่ต้องใช้ทั้งความคิด และความจำ และต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม การที่เขาชอบเล่นเกมนี้เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งว่า เขาชอบ "การคิดและการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้ได้ชัยชนะในการแข่งขัน"

ส่วนตัวผม เมื่อมองย้อนหลังไปในช่วงที่ยังเป็นเด็ก ผมชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับความคิด และการแข่งขันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือ การเล่นหมากรุกจีน ซึ่งผมจะเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ และเมื่อเล่นแล้ว ผมแทบจะลืมกินอาหาร

หมากรุกนั้น เป็นเกมการแข่งขันที่ต้องใช้การวางแผน โดยแผนที่ดี ต้องมีการมองไปข้างหน้าหลายๆ ก้าว นอกจากการวางแผนเพื่อเอาชนะแล้ว คนเล่นยังต้องคอยระวังและป้องกันการ "รุก" ของคู่ต่อสู้ด้วย ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหมากรุกที่ยอดเยี่ยมอะไร แต่ทุกวันนี้เมื่อมีเวลาว่าง ผมก็ยังเล่นหมากรุกจีนอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากหมากรุกจีน คนที่เล่นกันในปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีน้อยมากและต่างก็อายุมากกันแล้ว

การเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดในเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่า นอกจากจะช่วยทำให้เราคิดเก่งในการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์แล้ว ยังช่วยลับสมองเราไม่ให้เสื่อมถอยเร็วเกินไปเวลาเราแก่ตัวลงด้วย และเกมที่ผมคิดว่าช่วยฝึกสมองให้คิดแบบเชิงกลยุทธ์เราได้นั้น นอกจากบริดจ์และหมากรุกทุกประเภทแล้ว ยังน่าจะรวมถึงเกมโกะ และโมโนโปลี่

ส่วนเกมอย่างหมากฮอส หรือการเล่นไพ่อย่างเกมไพ่รัมมี่ ถึงจะต้องใช้การวางกลยุทธ์บ้าง แต่ผมคิดว่ามันยังใช้ไม่มากพอ นอกจากนั้น เกมใช้สมองอย่างอื่น เช่น เกมต่ออักษรให้เป็นคำที่เรียกว่า Cross Words หรือเกมเรียงตัวเลขอย่างซูโดกุ ผมคิดว่าไม่ใช่เกมที่ใช้กลยุทธ์เป็นหลักในการเล่น ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของการลงทุน

ลำพังการมีความสามารถเล่นเกมต่างๆ ดังกล่าวคงไม่เป็นประโยชน์กับการลงทุน นักลงทุนที่จะเก่ง ต้องคิดไปถึงเรื่องของกลยุทธ์การต่อสู้และการแข่งขันใน "ชีวิตจริง" โดยเฉพาะทางธุรกิจ การจะมีความสามารถอย่างนั้นได้ นอกจากความสามารถในการคิดแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ "วิชาการ" นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องศึกษา และต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการต่อสู้และการแข่งขันต่างๆ ให้มาก

การแข่งขันหรือการต่อสู้ที่ต้องใช้กลยุทธ์ นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสงคราม การเมือง และเชื่อไหมครับว่า เป็นเรื่องของชีวิตของเราแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง หรือคนธรรมดา ถ้าเราคิดเป็นแบบกลยุทธ์ เราก็จะเห็นว่าใครใช้กลยุทธ์อย่างไรและเขา "ชนะ" เพราะเหตุใด

ถ้าเราอ่าน หรือศึกษาโดยไม่ได้คิดแบบเชิงกลยุทธ์ เราก็จะอ่านผ่านๆ ไป และอาจคิดไปว่าคนชนะนั้น เป็นไปเพราะเหตุผลต่างๆ เช่น เขาเก่ง เขาฉลาด เขาสวยหรือหล่อ หรือแม้แต่เพราะเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "โชค"

ถ้าเราฝึกฝนการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อยู่เสมอ เราจะมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นแบบเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เรามักจะถามเสมอว่าอะไร หรือกลยุทธ์อะไรที่ทำให้คนหนึ่ง "ชนะ" อีกคนหนึ่ง "แพ้" บริษัทหนึ่งชนะและอีกบริษัทหนึ่งแพ้ องค์กรหนึ่งชนะและอีกองค์กรหนึ่งแพ้ ประเทศหนึ่งชนะและอีกประเทศหนึ่งแพ้

ดังนั้นเราจะเห็นถึงความได้เปรียบ และความเสียเปรียบของคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้ รวมทั้งรู้ว่าอะไรเป็นความได้เปรียบ "ชั่วคราว" และอะไรเป็นความได้เปรียบ "ถาวร" และนี่ก็คือสิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียกว่า Durable Competitive Advantage หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ในการลงทุนในหุ้นสุดยอดสไตล์บัฟเฟตต์

ส่วนคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการคิดเชิงกลยุทธ์ และวิชาการเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขัน ผมแนะนำว่า ควรเริ่มจากการอ่าน หนังสือกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่คนที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายได้อย่างเข้าใจง่ายและสั้น ก็คือ อัลรีส (Al Ries) ซึ่งเสียชีวิตแล้ว และแจ็คเทราท์ (Jack Trout) ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การวางตำแหน่งของบริษัทในการแข่งขัน และกลยุทธ์ต่างๆ ที่ธุรกิจใช้ในการต่อสู้กัน

หลังจากเข้าใจเรื่องกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการตลาดแล้ว เราจะเข้าใจกลยุทธ์ในเรื่องอื่นๆ อีกมาก และถ้าเราหมั่นฝึกฝนการคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเข้าใจ "เบื้องหลัง" ความสำเร็จและความล้มเหลวของแต่ละบริษัทหรือแต่ละคน และนั่นจะนำไปสู่การเลือกหุ้นลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Monday, March 23, 2009

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้นแบบ VI

พูดถึงเรื่องของการซื้อขายหุ้นแล้ว ผมคิดว่ามีเทคนิคหรือมีกฎต่างๆ มากมายที่มีการคิดค้นและนำเสนอ วิธีการหรือกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละเรื่องนั้น มีหลากหลายแนวทางขึ้นอยู่กับว่า คนที่เสนอเป็นนักลงทุนแนวไหน กลยุทธ์เหล่านั้นบ่อยครั้งขัดกันเอง เช่น ถ้าเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาอาจจะบอกว่าการเล่นหุ้นต้องเล่น "ตามกระแส" แต่ถ้าเป็นแบบ Value Investor บางพวกเขาจะให้ซื้อขาย "สวนกระแส" วันนี้ผมขอนำเสนอหลักสำคัญบางประการของการซื้อขายหุ้นที่ผมเชื่อและใช้ เรียกให้เท่ว่า บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้น
ข้อ 1 ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าซื้อหุ้นโดยใช้อารมณ์ อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นกำลังวิ่ง อย่าลืมว่ามีหุ้นที่กำลัง "วิ่ง" ทุกวัน ถ้าเราซื้อ เราก็จะเป็นนักเล่นหุ้นรายวันที่มีโอกาสถูกผิด 50-50 ถ้าเราทำแบบนี้ในระยะยาวเราจะขาดทุนเสมอ
ข้อ 2 อย่าสนใจข่าวลือ หรือ "หุ้นเด็ด" ที่เราได้ยินมาไม่ว่าจะมาจากเซียน คนใน หรือ Insider ของบริษัท หรือจากคนแปลกหน้าในงานเลี้ยง เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ยินก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ยิน ข่าว หรือข้อมูลแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรนอกจากจะทำให้เราเสียเงิน
ข้อ 3 ให้ความสำคัญกับตัวกิจการ หรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาด หรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะถึงแม้สภาพทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีแต่ตัวบริษัทก็อาจจะดีได้ นอกจากนั้น ถึงกิจการอาจจะไม่ดีนักแต่ราคาหุ้นอาจจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ดังนั้นอย่าให้ภาพของตลาด หรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
ข้อ 4 หุ้นนั้น มักจะดูแย่กว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดตกต่ำถึงพื้นในช่วงตลาดหมี และดูดีกว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดวิ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงตลาดกระทิง มีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้าย และขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ
ข้อ 5 จำไว้ว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่เราจะสามารถซื้อหุ้นที่พื้นพอดี และขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากๆ นั้น หุ้นอาจจะตกต่ำลงไปเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานจริงได้มาก เช่นเดียวกัน ในยามที่ทุกคนกำลังมองโลกในแง่ดีมากๆ หุ้นอาจจะขึ้นไปเกินพื้นฐานได้มากเหมือนกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้ว ก็หวังว่ามันจะลงถึง แม้เราจะเชื่อมั่นกับการวิเคราะห์หามูลค่าของเรา
ข้อ 6 ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอนาคตในการเติบโตที่ดีมาก อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูเหมือนว่าสูงเกินไปหรือหุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปชั่วคราว เพราะถ้าเราพลาด เราอาจจะไม่สามารถซื้อมันกลับมา และทำให้เราพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในอนาคต
ข้อ 7 อย่า "หลงรักหุ้น" จน "ตาบอด" เพราะมันจะทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์กิจการได้อย่างเป็นกลางไม่มีความลำเอียง หุ้นนั้นรักได้แต่อย่าหลง เราจะต้องตรวจสอบและประเมินดูฐานะและความคุ้มค่าอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาเราก็อาจจะต้องมีความ "โหดร้าย" พอที่จะ "ตัดรัก" หรือขายทิ้งได้ถ้าพิจารณาดูแล้วว่ามัน "หมดเสน่ห์" แล้ว
ข้อ 8 อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหน กิจการอาจจะเคยกำไร 100 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจจะเคยอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียงหลัก 10-20 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ๆ กับที่เดิม อย่าลืมว่าของเดิมอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติก็ได้ ตัวเลขใหม่คือของจริง ดังนั้น ลืมตัวเลขเก่าแล้วมองไปข้างหน้า หุ้นราคา 2 บาท อาจจะยังแพงเกินไปก็ได้
ข้อ 9 เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง หุ้นคุณภาพต่ำนั้น บางครั้งอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดี และเร็วมาก แต่ความสำเร็จในระยะยาวนั้น มีโอกาสสูงกว่าที่จะเกิดกับพอร์ตของหุ้น ที่เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงเป็นหลัก Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงหุ้นดีประเภทซูเปอร์สต็อก และชอบเล่นหุ้นคุณภาพต่ำที่มีโอกาสทำกำไรหวือหวารวดเร็ว
การทำแบบนี้ถ้าทำเป็นครั้งคราวก็คงไม่เสียหายอะไรนัก แต่ถ้าเริ่มต้น ก็ทำแล้วจนในที่สุดติดเป็นนิสัย โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็จะยาก พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพต่ำนั้นยากที่จะทำให้เรารวย ตรงกันข้าม พอร์ตของกิจการที่มีคุณภาพสูงนั้น สามารถทำให้เรารวยได้ และด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก
ข้อ 10 ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เราต้องปรับการลงทุนเพื่อให้สะท้อนกับการเปลี่ยนแปลง ตัดหุ้นที่อ่อนแอลงออก ซื้อหุ้นที่ดีกว่าเข้ามา แต่นี่ไม่ใช่การเทรดหรือซื้อขายหุ้นรายวัน รายเดือน หรือแม้แต่รายปี มันขึ้นกับสถานการณ์และตัวหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไม่ถึงปี วิธีการลงทุนของเราคงไม่ใช่การเน้นหุ้นคุณภาพในการลงทุนเป็นหลัก
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของกฎในการซื้อขายหุ้นลงทุนที่ผมคิดว่าดี และสอดคล้องกันเป็นชุดแน่นอน มีกฎอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และอาจจะตรงกันข้ามกับที่ผมพูดถึง นักลงทุนคงต้องเลือกเองว่า จะเชื่อแนวความคิดหรือวิธีไหน แต่ขอบอกว่านี่คือวิธีการที่นักลงทุนเอกของโลก อาทิ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้อยู่และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Monday, March 16, 2009

โลกในมุมมองของ Value Investor : หนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเขาน่าจะมีวิธีการและ/หรือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างน้อย 3-4 อย่างดังที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้
ข้อแรกคือ เขาจะต้องมี ความรอบรู้ ความฉลาดหลักแหลม ความสามารถในการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของธุรกิจต่างๆ หลายอย่าง คนที่เก่งมากๆ ในด้านนี้มักจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนอัจฉริยะในด้านของการลงทุน หลายๆ คนมักจะเป็นคนที่มี IQ ค่อนข้างสูง
ข้อสอง เขาจะต้องทำงาน เป็นคนขยันไม่เกียจคร้าน โดยเฉพาะที่เป็นงานเกี่ยวกับการลงทุน การหมั่นค้นคว้าหาโอกาสในการลงทุน ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก คนที่ทำงานมากๆ เป็น Workaholic หรือคนบ้างาน ก็จะมีโอกาสได้รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและข้อมูลสำคัญสำหรับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำงานหนักๆ ได้มากนั้น นอกจากจะต้องเป็นคนหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีแล้ว เขามักจะต้องมี Passion หรือความหลงใหลในการลงทุนที่รุนแรงด้วย
ข้อสาม เขาจะต้องมี EQ หรือความสามารถทางอารมณ์ที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ผันผวนไปตามภาวะของตลาดและราคาหุ้น มีความสามารถที่จะคิดได้อย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง และสามารถปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ได้วางไว้อย่างมั่นคง
ข้อสี่ เขาจะต้องมีความเข้าใจหรือมี Sense หรือความรู้สึกหรือไหวพริบเกี่ยวกับภาวะของผู้คนและนักลงทุนในตลาด Sense นี้เป็นเรื่องยากที่จะสอนกัน แต่การลงทุนมานานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็ช่วยให้เรามี Sense ดีขึ้นได้
คุณสมบัติทั้งสี่ข้อนี้ ผมคิดว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวต้องมี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่คนคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติดีเด่นในทุกข้อ โดยปกติแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคุณสมบัติข้อหนึ่งข้อใดหรือสักสองข้อที่เด่น และมีคุณสมบัติในข้อที่เหลือพอใช้ แบบนี้เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ ว่าที่จริง “เซียน” หรือคนที่ประสบความสำเร็จมากนั้น มักจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมากๆ จริงๆ เพียงบางข้อเท่านั้น และนั่นยังเป็นการแบ่งแยกด้วยว่าเขาเป็น “เซียน” ประเภทไหน
คนที่อาศัยความรอบรู้หรือ IQ ทางการลงทุนเป็นหลักมักจะเป็น “เซียน” ระดับอัจฉริยะที่มักจะประสบความสำเร็จสูงและมีชื่อเสียงยาวนาน ตัวอย่างก็แน่นอน ประเภท วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล มิลเลอร์ จอห์น เทมเปิลตัน คนเหล่านี้จะมีความคิดและความเข้าใจลึกซึ้งมากในด้านของการลงทุนและของกิจการ พวกเขาจะสามารถมองเหตุการณ์ไปข้างหน้าได้ไกลกว่าและถูกต้องกว่า และลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลในระยะยาวซึ่งผลการลงทุนนั้นมักจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง นักลงทุนทั่วไปมักจะชื่นชมและยกย่องพวกเขา“หลังจาก” เห็นผลแล้ว แต่ในขณะที่พวกเขากำลังซื้อหุ้นนั้น เรามักจะแปลกใจและคิดว่าพวกเขากำลังคิดผิด เราไม่อยากซื้อหุ้นตามพวกเขาเพราะเรามองว่าหุ้นที่พวกเขากำลังซื้อนั้นดูไม่น่าจะดีและเราไม่เข้าใจว่าเขาซื้อทำไม
คนที่อาศัยความขยันทำงานหนักเป็นหนทางสู่ความสำเร็จนั้น คือคนที่อาจจะเข้าสำนักงานตั้งแต่เช้าตรู่และกลับบ้านเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว พวกเขาต้องอ่านบทวิเคราะห์เป็นสิบๆ เล่มในแต่ละสัปดาห์ และต้องเข้าประชุมฟังการบรรยายของบริษัทจดทะเบียนเกือบจะทุกวัน เวลาที่ว่างจากการอ่านพวกเขาก็มักจะต้องพูดโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการลงทุน หลังเลิกงานพวกเขายังต้องหอบแฟ้มกลับไปทำที่บ้าน วันหยุดก็มักจะไม่เป็นวันหยุดอย่างที่ควรเป็น แน่นอนผมกำลังพูดถึงคนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องติดตามบริษัทเป็นร้อยๆ แห่งหรืออย่างในสหรัฐนั้นเป็นพันๆ แห่ง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาต่างก็ขยันและทำงานหนักพอๆ กัน คนที่ประสบความสำเร็จสูงมากในกลุ่มนี้ก็คือ ปีเตอร์ ลินช์ ที่สุดท้ายต้องลาเวทีไปก่อนเกษียณเนื่องจากรับกับการทำงานแบบนั้นไม่ไหว
คนที่อาศัย EQ เป็นหลักในการประสบความสำเร็จนั้น คือคนที่มีศรัทธายึดมั่นในหลักการและนโยบายการลงทุนที่ตนเองเห็นว่าดีและเหมาะกับตนเองแล้ว นโยบายและกลยุทธ์เหล่านั้นอาจจะไม่ใช่หนทางที่ทำให้เขารวยเร็วที่สุดแต่อาจจะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เขาเชื่อมั่นว่าถ้าเขายึดหลักการที่กำหนดไว้ดีแล้วนั้น ในระยะยาวเขาก็จะบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่นเขาอาจจะกำหนดว่าเขาจะลงทุนแบบสะสมเงินที่หาได้จากการทำงานไปเรื่อยๆ ทุกเดือน โดยแบ่งเงินลงทุนไปในหุ้นและพันธบัตรเท่าๆ กัน โดยที่หุ้นลงทุนอาจจะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลักๆ ห้าบริษัทเป็นต้น และการลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนตลอดเวลาไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างของคนที่ใช้ EQ เป็นหลักและประสบความสำเร็จสูงมากก็คือ “คนธรรมดา” ที่ชื่อว่า แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนมานานแล้ว เธอเป็นสาวโสดที่ไม่เคยแต่งงาน อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เป็นคนกินเงินเดือนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปีไปแล้ว เธอยึดมั่นลงทุนในบริษัทที่เธอเห็นว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่น โค้ก ถือยาว ติดตามผลการดำเนินงาน รับปันผล ลงทุนเพิ่มวันที่เธอเสียชีวิต พอร์ตของเธอเกือบพันล้านบาท เธอทำได้เพราะอายุวันตายประมาณ 100 ปี
คนที่ใช้ Sense ในการลงทุนเป็นหลักแล้วประสบความสำเร็จนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราเรียกว่า “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้น แน่นอน ขาใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน หลายคนก็ขาดทุนหรืออยู่ไม่นาน คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผมคิดว่าพวกเขาต้องมีคุณสมบัติข้ออื่นๆ ดังที่กล่าวข้างต้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็คือ ความสามารถในด้านของจิตวิทยาการอ่านใจนักเล่นหุ้นในตลาดได้ดีกว่าคนอื่น นอกจากการอ่านเกมออกแล้วพวกเขายังน่าจะมีความสามารถในการจูงใจให้คนอื่นเล่นตามด้วย และนี่อาจจะเป็นศาสตร์ที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จสูงมากในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย
ทั้งหมดนั้นก็คือหนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน 4 แบบ นักลงทุนแต่ละคนต้องเลือกว่าวิธีไหนที่เราชอบและมีศักยภาพที่สามารถทำได้ การค้นหาตัวตนก่อนที่จะเลือกเดินทางนั้นสำคัญมาก เลือกถูกก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เลือกผิดเราอาจจะพบกับความผิดหวังหรือหายนะ สำหรับคน “กลาง ๆ” ผมแนะนำว่าแนวทางของการใช้ EQ เป็นหลักในการลงทุนเป็นวิถีทางที่น่าสนใจ และย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเลือกแนวไหน เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทุกทางด้วยมิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

Sunday, March 8, 2009

Money Pro : บริหารหนี้สินวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

ช่วงนี้มีการขอคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินส่วนบุคคลมากมาย ดิฉันจึงคิดว่าหัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านด้วย จึงอยากหยิบยกมาเขียนในสัปดาห์นี้ค่ะ

“ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่สามารถใช้เงินออมของเราได้ตลอดเวลา ในบางครั้งเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก้อนที่ใหญ่กว่าเงินออมที่เรามี ซึ่งก็แน่นอนว่า เราต้องไปหยิบยืม หรือกู้จากผู้อื่น

จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนี้สินของครัวเรือนไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นไปเป็น 27.88% ของ จีดีพี หรือเท่ากับแต่ละครัวเรือนมีหนี้ 143,476.30 บาท หนี้ส่วนนี้จะมากหรือน้อย คิดจากอะไร? คำตอบในมุมมองของแต่ละครัวเรือนก็ต้องเทียบกับรายได้ค่ะ จากการสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2550 รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 18,660 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับ 223,920 บาทต่อปี
ถ้าคิดว่าในช่วงปี 2551 มีการเติบโตประมาณ 4% ก็จะทำให้รายได้ครัวเรือนในปี 2551 อยู่ที่ประมาณ 232,876 บาทต่อปี ดังนั้น หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 143,476.30 บาท จึงคิดเป็น 61.6% ของรายได้ต่อปี

ซึ่งถ้าถามว่าสูงหรือไม่ ก็ต้องตอบแนวเปรียบเทียบค่ะ ยังไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มีหนี้สินครัวเรือนประมาณ 136% ของรายได้ต่อปี ญี่ปุ่นประมาณ 130% เกาหลีใต้ประมาณ 148% เป็นต้น

แต่ปัญหาคือการกระจายตัวค่ะ ผู้มีรายได้สูงส่วนใหญ่จะไม่มีหนี้สินในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่สูงจะมีหนี้สินมาก เพราะฉะนั้น หนี้สินในครัวเรือนระดับกลางๆ อาจจะมีสัดส่วนถึง 200% ของรายได้ครัวเรือนมีหนี้สินจำนวนเท่าใด จึงจะไม่ทำให้เดือดร้อน อันนี้ตอบยากมาก เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับค่าใช้จ่ายครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ฯลฯ เอาเป็นว่าขอเสนอแนะแนวทางเพื่อให้ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ หรือนำไปแนะนำให้คนในครอบครัวปฏิบัติก็แล้วกันนะคะ

ขั้นแรก ก่อนที่จะบริหารหนี้ของครัวเรือน ท่านต้องมีข้อมูลเรื่องรายรับและรายจ่ายของครัวเรือน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่หลายๆ ครัวเรือนก็ไม่เคยทราบว่ามีรายได้ หรือรายจ่ายรวมเท่าไหร่ ถ้าท่านมีรายการมากมาย ท่านอาจต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย ธนาคารกสิกรไทยมีแจกแผ่นซีดีบันทึกข้อมูลให้ค่ะ สอบถามได้
โดยทั่วไป รายจ่ายไม่ควรเกินรายรับ ถ้าท่านมีหนี้สินด้วย เงินผ่อนชำระหนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเงินสดจ่าย แต่ไม่ใช่รายจ่ายทั้งหมด ส่วนที่ถือเป็นรายจ่ายคือดอกเบี้ย สำหรับส่วนที่ผ่อนเงินต้นนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านกู้ยืมไปใช้อะไร ถ้ากู้ไปซื้อบ้านหรือลงทุน ส่วนนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน แต่ถ้ากู้ไปใช้จ่าย เงินต้นที่จ่ายคืน จะถือเป็นรายจ่ายด้วยค่ะ
ถ้าท่านมีรายจ่ายและค่าผ่อนหนี้เกินกว่ารายรับที่มี ท่านต้องบริหารรายรับโดยการหารายได้เพิ่มเติม หรือบริหารรายจ่าย โดยการลดการใช้จ่ายลงก่อน

ขั้นที่สอง ท่านต้องสำรวจหนี้สินทั้งหมด โดยต้องมีข้อมูลทั้งจำนวนเงินกู้ยืมตั้งต้น จำนวนหนี้คงค้างอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการกู้ยืม เงื่อนไขการปรับกรณีผิดนัดชำระ เงื่อนไขการปรับกรณีจ่ายชำระคืนก่อนกำหนด หลักประกันที่ให้ไว้กับเจ้าหนี้ ฯลฯ

ขั้นที่สาม ประเมินความสามารถในการชำระคืนของตนเอง โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับไม่เกิน 35%ของรายได้ ถ้าท่านรวมแล้วภาระในการผ่อนชำระของท่านสูงเกินกว่า 50% ของรายได้ ท่านเสี่ยงต่อการเป็นหนี้อย่างถาวร คืออาจจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการมีหนี้ได้ ท่านต้องหาที่ปรึกษาอย่างรวดเร็ว
ยกเว้นในกรณีที่รายได้ของท่านสูงมาก และรายจ่ายของท่านอยู่ในระดับปกติ (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏ) เช่น ท่านมีรายได้สุทธิหลังหักภาษี 200,000 บาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อเดือน อย่างนี้ท่านก็สามารถจ่ายชำระหนี้ได้เดือนละ 150,000 บาท แต่ต้องแน่ใจนะคะว่าภาษีที่หักไว้นั้นหักครบถ้วน หากหักน้อยไป ท่านอาจจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในเดือนมีนาคม ที่ต้องยื่นชำระภาษีเงินได้เป็นเดือนสุดท้าย

ขั้นที่สี่ ชำระหนี้คืนเพิ่ม หากประเมินแล้ว มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มขึ้น ให้เลือกชำระคืนหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงก่อน แล้วค่อยเรียงลำดับไล่มาค่ะ หากไม่มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มก็ข้ามไปขั้นที่ห้า

ขั้นที่ห้า จัดการกับหนี้สิน คำว่าจัดการในที่นี้หมายถึง ยุบ (จ่ายคืนให้หมด) ย้าย (refinance) รวม เจรจา จะเลือกใช้วิธีไหนก็แล้วแต่กรณีค่ะ ขอยกตัวอย่างบางกรณีที่อาจเป็นประโยชน์
- สินเชื่อที่มีหลักประกันมักจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่ไม่มีหลักประกัน ถ้าท่านมีวงเงินเหลือ เช่นผ่อนบ้านไปพักหนึ่ง อยากต่อเติมบ้านเพิ่ม ท่านอาจไปขอเพิ่มวงเงินกู้ในส่วนที่ท่านผ่อนไปแล้วได้ อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าใช้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต่ำกว่าค่ะ แต่อาจจะมีเงื่อนไขประเภทการนำไปใช้นะคะ จะกู้เพิ่มเอาไปเที่ยว ธนาคารคงไม่ยอม
- ในบางช่วงธนาคารจะมีข้อเสนอให้ย้ายวงเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ท่านอาจพิจารณาย้ายวงเงินได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขให้ดีด้วยนะคะว่าท่านสามารถทำตามเงื่อนไขได้หรือไม่
- หากมีหนี้นอกระบบ พยายามนำเข้ามาในระบบ ส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาไม่ได้ เพราะไม่มีหลักประกันหรือรายได้ไม่แน่นอน ให้ลองดูว่าข้อเสนอใหม่ๆ ของธนาคารภาครัฐ บางครั้งอาจมีข้อเสนอที่เหมาะสมกับท่าน
- อย่ากู้ใหม่มาจ่ายชำระหนี้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง refinance ซึ่งคือการย้ายไปกู้สถาบันใหม่นะคะ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่วงเงินทางนี้เต็ม ก็เลยไปเปิดอีกวงเงินหนึ่ง เพื่อเอามาผ่อนชำระขั้นต่ำ ก็เลยเกิดดอกเบี้ยของดอกเบี้ย อย่างนี้ท่านจะเสี่ยงต่อการไม่สามารถหลุดออกจากวังวนของหนี้ได้
- ไม่เก้อเขินหรือเหนียมอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด บางครั้งปัญหาหนี้อาจเป็นปัญหาหนักมากสำหรับเรา ถ้าเราแก้เองอาจจะวนเวียนไม่สิ้นสุด ลองเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ แล้วย้ายมาเป็นลูกหนี้ท่านเหล่านี้แทน ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือไม่คิดดอกเบี้ย ไม่แปลกที่จะลองขอดู และถ้าถูกปฏิเสธก็ต้องเข้าใจ ไม่โกรธแค้น ผู้ใหญ่บางท่านจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการให้คนอื่นกู้ยืมเงิน เราต้องพยายามเข้าใจท่านด้วย
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการบริหารหนี้ค่ะ

Monday, March 2, 2009

โจเซฟ สติกลิตซ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจไทยโดย

: สุรัชฎา สว่างเนตร เรียบเรียง

โจเซฟ สติกลิตซ์ กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากที่ถกเรื่องเศรษฐกิจกันอย่างถูกคอจากการพบปะกันในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และนักเศรษฐศาตร์รางวัลโนเบล ปี 2001 เจ้าของ "ทฤษฎีข้อมูลที่ไม่สมมาตรกัน" (Theory of information Asymmetry) ซึ่งส่งผลให้ตลาดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโดยเป็นที่ปรึกษาที่รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายค่าตัวใดใดทั้งสิ้นเพราะการให้คำปรึกษาครั้งนี้ของสติกลิตซ์ เป็นการ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" กับทาง อภิสิทธิ์ และรัฐบาลไทย เนื่องจากทั้งสองมีมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน

สำหรับคนไทยที่ไม่ได้ข้องแวะกับเรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก ชื่อของสติกลิตซ์ อาจไม่คุ้นหูเท่ากับไมเคิล อี พอตเตอร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศไทยในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หรือพอล ครุกแมน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Princeton ที่เป็นขาประจำของรัฐบาลจอร์จ บุช

สติกลิตซ์เป็นนักเศรษฐศาสตร์สาย Neo - Keynesian ที่เชื่อในกลไลตลาด และการแทรกแซงของภาครัฐด้วยการใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน ที่พวกกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกาชื่นชมในตัวเขา โดยเป็นอดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของ ประธานาธิบดีบิล คลินตัน และอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก

เขาเกิดที่มลรัฐอินเดียนาเมื่อปี 1943 และปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ Global Thought ของมหาวิทยาลัย ในยุครัฐบาลบิล คลินตัน เขาเป็นสมาชิกของสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ และต่อมาเป็นประธานของสภานี้ในช่วงปี 1993- 1997 จากนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าเศรษฐกรและรองประธานอาวุโสของธนาคารโลกในช่วงปี1997-2000

สติกลิตซ์ ได้เผยแพร่แนวคิดของเขาผ่านหนังสือ Globalization and Its Discontents และ Making Globalization Work ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง โดย Globalization and Its Discontents หรือวิจารณ์การทำงานของไอเอ็มเอฟในปี 2540 ว่า เป็นการทำงานที่ล้มเหลว และเป็นต้นกำเนิดของความยากจนไม่รู้จบ

Making Globalization Work เป็นภาคต่อของเล่มแรกที่นำเสนอการใช้กระบวนการโลกาภิวัตน์เพื่อปรับปรุงระบบการเงิน การค้า และการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมโลก

ล่าสุด The Three Trillion Dollar War เพิ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาวิเคราะห์วิจารณ์ต้นทุนของสงครามอิรัก ซึ่งมิได้เป็นภาระเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นภาระของโลกด้วย รวมทั้งเสนอยุทธศาสตร์การถอนทหารอเมริกันออกจากอิรัก

ชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งของสติกลิตซ์ คือ การต่อต้านทุนนิยม

เขาไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมแบบเดิม และการค้าเสรีแบบสุดขั้ว แต่ก็ไม่ใช่จะปฏิเสธเสียทั้งหมด
ตามความคิดของสติกลิตซ์ ทุนนิยมมี "ข้อบกพร่อง" ของระบบที่ต้องทำการแก้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรกำจัดทุนนิยมทิ้งไป เพราะทุนนิยมก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการให้ความมั่งคั่งกับคนที่ไร้โอกาส แต่ต้องหาวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของตลาดให้ได้

ท่ามกลางความตระหนกของผู้คนหลังจากมูดี้ส์ออกมาประกาศว่า เศรษฐกิจไทยจะแย่สุดในภูมิภาคเอเชีย แต่เสียงชื่นชมของสติกลิทซ์ที่มีต่อรัฐบาลไทยบนเวที World Economic Forum จนถึงกับออกปากชมแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย พร้อมกับกล่าวเตือนในเรื่องการปฏิบัติ จนนำมาซึ่งการตอบรับเป็นกุนซือทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลไทยในครั้งนี้ น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาได้บ้าง

โลกในมุมมองของ Value Investor : Perfect Storm-Perfect Stock

ข่าวร้ายในตลาดสำหรับคนเล่นหุ้นแล้ว มันคือเวลาของการขายหุ้น ยิ่งร้ายเท่าไรก็ต้องรีบขายเร็วเท่านั้น ผลของการขายทำให้ราคาหุ้นที่เจอกับข่าวร้ายตกลงมาอย่างหนัก หลายๆ ครั้งหนักเกินความเป็นจริง และนั่นคือโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาเก็บหุ้น
ประเด็นสำคัญ คือ คุณจะต้องมั่นใจจริงๆ ว่า ข่าวร้ายนั้น เป็นเรื่องชั่วคราว มันไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป และไม่ช้าก็เร็วบริษัทก็จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างที่มันเคยเป็น และด้วยราคาหุ้นที่ตกลงมามาก การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน 3-5 ปีข้างหน้า
ข่าวร้ายในตลาดที่ส่งผลต่อหุ้นอย่างแรง อาจแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกันคือ
หนึ่ง ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจ หรือตลาด ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิด Panic หรือตกใจ เกิดการขายหุ้นทั่วทั้งตลาด สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นจากภาวะการเงินหรือเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลอย่างแรง เช่น เกิดภาวะเงินตึงตัว เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูง หรือการที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ข่าวร้ายประเภทนี้ มักทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดตกลง แม้ว่าหุ้นบางตัว หรือบางกลุ่ม อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือถูกกระทบน้อย หน้าที่ของ Value Investor ก็คือ มองหาหุ้นที่ถูกกระทบน้อยแต่ราคาหุ้นตกลงมามากพอๆ กับดัชนีตลาดที่ประมาณ 50% นับตั้งแต่เกิดวิกฤติ
ข่าวร้ายแบบที่สอง ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม ความตกต่ำ หรือถดถอยของอุตสาหกรรมทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง หรืออ่อนแอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่แข็งแกร่งจะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม ในขณะที่บริษัทที่อ่อนแอจะล้มหายตายจาก หรือลดระดับของการดำเนินงานลง กระบวนการนี้ อาจจะใช้เวลาบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม หน้าที่ของเรา คือ ต้องวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมจะใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ ต้องหาว่าบริษัทไหนจะถูกกระทบน้อย และกลับมายิ่งใหญ่และทำกำไรได้มากแค่ไหน เมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว
ข่าวร้ายแบบสุดท้าย ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง นี่คือข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบริษัทเองที่อาจจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือถูกกระทบโดยความโชคร้าย แต่ความผิดพลาดนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องชั่วคราวที่บริษัทน่าจะแก้ไขได้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นักลงทุนมักจะเทขายหุ้นกันอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นตกลงมามาก อย่างที่ "ไม่เคยปรากฏ" มาก่อน

หน้าที่ของ VI ก็คือ พิจารณาว่า เหตุการณ์นั้น ไม่ได้กระทบกับธุรกิจหลักของบริษัท ที่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเหตุการณ์ชั่วคราวผ่านพ้นไป หรือบริษัทได้แก้ไขไปแล้ว และราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น จะทำให้การลงทุนของเราให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือ อย่างน้อยถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไว้ 5 ปี ราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากราคาที่เราซื้อ

หุ้นที่เราจะซื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เราต้องมั่นใจว่ามันจะต้อง "ฝ่าวิกฤติ" ไปได้ไม่ว่าจะด้วยอะไร เช่น เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีมีเงินสดมาก และมีหนี้น้อย เป็นกิจการที่จำเป็นและมีผู้ให้บริการที่จำกัด เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งสนับสนุนอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง หรือแม้แต่เป็นกิจการที่ "ใหญ่เกินไปที่จะล้ม" นี่จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า เหตุร้ายแรงที่อาจจะดำเนินไปหลายปีนั้น ไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลายไปก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัว

บางที สำหรับบางบริษัท ข่าวร้ายนั้นเกิดเป็นชุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น โอกาสที่บริษัทจะเจอ "2 เด้ง" คือ ภาวะตลาดแพนิค และภาวะอุตสาหกรรมตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกันมีสูง บางครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก บางบริษัทอาจจะเจอกับข่าวร้ายทั้งด้านของภาวะตลาดหุ้น ภาวะอุตสาหกรรม และบริษัทเองก็เจอกับข่าวร้ายเฉพาะตัวเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ก็คือ บริษัทประสบกับ "Perfect Storm" ความร้ายแรงประดังกันเข้ามาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญขนาดนั้น หุ้นที่ประสบกับข่าวร้ายมาก ๆ หลายเรื่องหรือทุกเรื่องอย่างหุ้น Perfect Storm นั้น ราคาหุ้นจะตกลงไปมากจนแทบจะไม่เหลือค่าเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่อาจจะไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะไปรอดหรือไม่ หรือรอดได้แต่ก็ไม่กลับมาเป็นอย่างเดิม หรือรอดและกลับมาทำกำไรได้ แต่ต้องมีการเพิ่มทุนมหาศาล ซึ่งทำลายมูลค่าหรือความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด ถ้าเป็นแบบนั้น การลงทุนในหุ้น Perfect Storm ก็จะเป็นความเสี่ยงมหาศาล

ตรงกันข้าม ถ้าเราเจอหุ้น Perfect Storm และราคาหุ้นสะท้อนข่าวนั้นแล้ว โดยที่ราคาตกลงไปต่ำกว่าที่เคยเป็นในภาวะปกติมาก ในขณะเดียวกัน พื้นฐานของกิจการของบริษัทไม่เปลี่ยน และเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการตลาดมาก ประกอบกับความเชื่อมั่นว่า บริษัทจะไม่ล้มละลายและไม่ต้องเพิ่มทุนมหาศาล และสุดท้าย เราเชื่อว่าข่าวร้ายทุกอย่าง จะต้องหมดไปเมื่อเวลาผ่านไป 3-5 ปี และเมื่อนั้นกิจการของบริษัทก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่ข่าวร้ายจะเกิดขึ้น
ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทุนในหุ้น Perfect Storm อาจจะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติและหุ้นนั้นกลายเป็น "Perfect Stock" หรือเป็นโอกาสทองของการลงทุนในหุ้นตัวนั้น

แน่นอน การลงทุนในหุ้นที่มีข่าวร้ายมากๆ ย่อมมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในระยะสั้นเพียงปี หรือสองปี คนที่สามารถลงทุนในหุ้นแบบนี้ จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงมาก นั่นคือ จะต้องทนดูหุ้นที่อาจจะตกลงไปต่ออีกมากได้ หรือต้องสามารถถือหุ้นที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเวลานานพร้อมๆ กับผลการดำเนินงาน ที่อาจจะไม่น่าประทับใจของบริษัท และถ้าทนไม่ได้ขายหุ้นทิ้งก่อนที่หุ้นจะฟื้น

การขาดทุนจะกลายเป็นเรื่อง "ฝันร้าย" ที่จะต้องจดจำไปอีกนาน แต่ถ้าคิดถูกต้อง และมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ นี่คือ Perfect Stock ที่เราจะไม่ลืมเลย

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Sunday, March 1, 2009

สัมภาษณ์พิเศษ : "สวัสดิ์"เตือนรุ่นน้อง อย่าทิ้งความหวัง จงสู้เพื่ออยู่รอด

ฐานะของ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ในวันนี้ เป็นบุคคลล้มละลายทั้งด้านการเงินและการเมือง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ก้มหัวให้กับชะตากรรมตรงหน้า พร้อมเตือนนักธุรกิจรุ่นน้องลุกขึ้นสู้เพื่อฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ให้ได้
แม้จะถูกคำสั่งศาลล้มละลายให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็ก เจ้าของสมญานาม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อันลือลั่นสะท้านวงการการเงินเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ยังมีความภูมิใจเหลืออยู่ ที่สามารถนำพาธุรกิจในเครือหลายๆ แห่ง ฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อปี 2540 มาได้ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีคนในตระกูล หอรุ่งเรือง เป็นผู้ถือหุ้นก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเดือดร้อน แถมยังมีกำไรด้วย
ปัจจุบัน บริษัท นครไทยสตริปมิล (เอ็นเอสเอ็ม) ที่เป็นหนี้มากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ถูกจับไปรวมกับกลุ่มจีสตีล ผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นรายใหญ่ในเครือ สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ขณะที่บริษัท เอ็น ทีเอส สตีล มูลหนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในแผนปรับโครงสร้างหนี้ ถูกจับไปรวมกับบริษัทเหล็กเส้นในเครือบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกขายให้กับบริษัททาทาสตีล (ประเทศไทย) ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย
สินทรัพย์ที่เหลือจริงๆ ที่พอจะชำระให้เจ้าหนี้ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการล้มละลายโดยสมบูรณ์แบบเป็นเวลา 3 ปี เป็นหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวในบริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งก็มีประมาณ 64 ล้านหุ้น นอกจากนั้นก็เป็นทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อเอาไปชำระหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง สวัสดิ์ บอกว่า เป็นหนี้ที่เขาสร้างเองประมาณ 10% ที่เหลือ 90% เป็นหนี้ค้ำประกันให้กับพรรคพวก
สวัสดิ์ บอกว่า หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเขาเองอาจจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ทรัพย์สินของตัวเองนั้นตอนนี้แทบไม่เหลือ อาจจะมีบางส่วนอยู่ในครอบครัวบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า "หอรุ่งเรือง" ไม่ได้มีเฉพาะ "สวัสดิ์" คนเดียว
"การทำธุรกิจของผม จะใช้วิธีการนำหุ้นของบริษัทที่เราทำไปจำนำ หรือจำนอง เพื่อหาเงินก้อนใหม่มาขยายธุรกิจ ซึ่งมันก็จะโยงกันไปโยงกันมาแบบนี้ แม้เราจะมีธุรกิจแสนล้านบาท แต่พ่อเราไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ 3 หมื่นล้านบาทซะที่ไหน เราเตาะแตะมาชั่วชีวิต จุดอ่อนมันมี เมื่อเราเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีข้อกำหนดผู้ประกอบการห้ามขายหุ้น เราก็มีวิธีเดียวคือตึ๊งหุ้น"
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องล้มละลายและชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป สวัสดิ์ ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม มีชีวิตชีวาตลอดเวลา ว่า "ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก ล้มละลายแล้วเรายังอยู่นอกคุก พวกเราชอบคิดลึกกันไปเอง อย่าไปยึดติด"
"ในชั่วโมงทำงานผมก็จะใช้ชีวิตอยู่กับออฟฟิศ มาทำโครงการนี้ โครงการต่อ ในชั่วโมงที่ดีที่สุดของชีวิต กับที่เลวที่สุด ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง" สวัสดิ์ กล่าว
"ผมทำงานอย่างเดียว เราทำงานโดยการสร้างธุรกิจหนึ่งขึ้นมา เมื่อมีกำไรก็เอาหุ้นไปขายบ้าง ไปจำนำบ้าง เพื่อไปทำโครงการอื่นๆ อีกขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ เมื่อบริษัทหนึ่งล้ม ก็ล้มตามกันไป แต่ถ้ารอดหมด ก็รวยไม่รู้เรื่องเหมือนกัน"
สวัสดิ์ บอกว่าแม้ตัวเองจะต้องล้มละลาย แต่ชีวิตการทำงานของตัวเองไม่ได้ถือว่าล้มเหลว เพราะด้วยข้อจำกัดทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ที่เขาเกิดมาในช่วงที่ดอกเบี้ยแพง ใช้เงินทุนของสถาบันการเงินมาทำธุรกิจ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด จึงอยากให้กำลังใจผู้ที่ต้องเผชิญหรือกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวเขาที่เชื่อว่ามีอยู่มากมายบนโลกนี้ อย่าไปท้อ อย่าไปสิ้นหวัง และที่สำคัญอย่าทิ้งความหวัง
"คนที่เจอเหตุการณ์ปี 2540 มาแล้ว ถึงวันนี้ไม่ยอมตาย เพราะพวกเขาสู้ ไม่ยอมหนีไปไหน และเขาก็รอดหมดทุกคน แต่เที่ยวนี้เหตุการณ์หนักกว่าตอนที่ผมตายอีก วันนี้แบงก์ไม่ยอมปล่อยกู้ ก็จะตายกันหมด สมัยผมที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ แบงก์ยังปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียนให้ เพราะแบงก์ได้กลายเป็นเจ้าของจากการแปลงหนี้เป็นทุน"
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง มีหนี้สินนับแสนล้านบาท แต่ด้วยปรัชญาการทำธุรกิจ ที่ไม่ยึดติดกับความเป็นเจ้าของ ทำงานทุกอย่างมีเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้ในวันนี้ สวัสดิ์ กำลังจะกลายเป็นคนปลอดหนี้ ยกเว้นหนี้ค้ำประกันส่วนบุคคล ที่เป็นกรรมเก่าที่เขาต้องมารับภาระในขณะนี้ แต่ 3 ปีจากนี้ไป เขาก็จะปลดบ่วงหนี้ได้
เขาบอกว่า หลังจากพ้นล้มละลายแล้ว ตัวเองก็พร้อมจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ต่อไป แต่ใช่ว่าช่วงนี้จะหยุดนิ่งไม่ทำงาน ยังคงต้องทำงานตลอด แต่จะไม่ทำอะไรที่มีผลผูกพันทางนิติกรรมต่างๆ
"ผมยังมีความฝัน แค่ 3 ปี (ระยะเวลาล้มละลาย) ผมแค่ล้มละลายทางธุรกิจ ผมล้มละลายทางการเมือง มันสมองความเป็นคนของผมไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ความเป็นมนุษย์ สติปัญญาไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนมาปรึกษาตลอด การทำธุรกิจหรือทำอะไร อย่าไปคิดถึงวันเกษียณ คุณอย่านำปัญหากลับบ้าน ทุกอย่างให้จบอยู่ที่ทำงาน หากคุณยังนำงานไปทำที่บ้าน ต่อให้หนุ่มแน่นแค่ไหน ไม่นานก็ตาย อย่าแบกปัญหากลับบ้าน"
สวัสดิ์ บอกว่า สิ่งที่เขาเป็นห่วงนักธุรกิจรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ ที่มีแรงต้านทานต่ำ และยังยึดติดกับเกียรติยศ หน้าตา และชื่อเสียง ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ลุกขึ้นสู้ กลายเป็นพันธนาการตัวเองให้ขาดอิสรภาพของชีวิต และที่สำคัญคนที่ล้มละลายที่กำลังคิดจะทำร้ายตัวเอง ให้กลับมาคิดใหม่ และต่อสู้อีกครั้ง
"การล้มละลายไม่ได้เสียอิสรภาพใดๆ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ให้ล้มไปแค่ 3 ปี แล้วเริ่มใหม่ อย่าให้เกิดขึ้นอีก ล้มละลายแค่ทำให้เราเสียหน้าและเกียรติยศ แต่วันนี้คนทั้งโลกเป็นเหมือนเราหมด เพราะฉะนั้นคนที่สู้เท่านั้นที่จะอยู่รอด"
สุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์

Monday, February 23, 2009

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : ชีวิตแบบคนชั้นกลาง

ย้อนหลังไปสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก คือประมาณ 50 ปีมาแล้ว ผู้คนในสังคมไทยสำหรับผม ดูเหมือนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ คน "ร่ำรวย" ซึ่งสัญลักษณ์ที่เห็นชัดเจนก็คือ การที่พวกเขามี "ข้าทาสบริวาร หรือคนดูแลรับใช้" นอกเหนือไปจากบ้านและทรัพย์สินเงินทอง ที่แสดงถึงความมั่งคั่งเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันหรือไม่ไกลจากกัน
อีกกลุ่มหนึ่งคือ คน "ยากจน" ที่ต้องทำงานทุกอย่างเองหรือทำงานรับใช้ให้กับคนรวย ซึ่งพวกเขามักจะอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม ชีวิตประจำวันของพวกเขาวนเวียนอยู่กับการทำงาน และไม่เคยท่องเที่ยวไปในที่ไกลๆ ไม่ต้องพูดถึงการไปต่างประเทศ แน่นอน ผมอยู่ในกลุ่มหลัง
การใช้ชีวิตแบบ คนรวย-คนจน ในสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผมเองไม่ได้สังเกตมากนักจนกระทั่งผมได้ไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา และกลับมาในราวปี 2529 หรือประมาณ กว่า 20 ปีมาแล้ว
ผมเริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่เมืองไทยของผมเริ่ม คล้ายกับการใช้ชีวิตสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา ประเด็นที่เหมือนกันและรู้สึกได้มากที่สุดก็คือ ข้อหนึ่ง ผมมีรถและขับเอง ข้อสอง ผมต้องไปจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตสมัยใหม่ทุกสัปดาห์ แบบที่ผมทำอยู่ที่เมืองนอก การเข็นรถและรอจ่ายเงินที่ทางออกของซูเปอร์มาร์เก็ต
ทีแรกผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไรนัก จนได้อ่านเจอข่าวที่นายซัลแมน รัชดี นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษที่เขียนเรื่อง Satanic Verses ที่ถูกผู้นำทางศาสนาอิสลามของอิหร่านตัดสินว่าหมิ่นศาสนา และสั่ง "ประหาร" ทำให้เขาต้องหลบซ่อนตัว เขาให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก ยกเว้นแต่ว่าชีวิตประจำวันที่เขาต้องจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตของเขานั้นขาดหายไป
หลังกลับจากอเมริกา ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าในสังคมไทยนั้น เรากำลังมีคนกลุ่มที่สามที่เรียกว่า "คนชั้นกลาง" คนกลุ่มนี้ที่รวมถึงตัวผมด้วยนั้น มีชีวิตที่ค่อนข้างเป็นอิสระ และไม่ได้มองหรือสนใจคนรวยหรือคนชั้นสูงอย่างที่เคยเป็น
ประการสำคัญก็คือ คนกลุ่มนี้มักมีการศึกษาที่ดีไม่แพ้คนชั้นสูง ในเรื่องของเงินทองหรือทรัพย์สินนั้น คนชั้นกลาง เริ่มมีงานที่สามารถทำเงินได้มากจนสามารถใช้จ่ายซื้อทรัพย์สิน หรือของใช้ที่จำเป็นแบบที่คนรวยเท่านั้น ที่สามารถซื้อได้ในสมัยก่อน
เพียงแต่ว่าบ้านหรือรถยนต์นั้นอาจจะไม่หรูหราเท่า พวกเขาเริ่มท่องเที่ยวไปในที่ไกลๆ และต่างประเทศ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มี "ข้าทาสบริวาร" หรือคนที่ทำงานให้มากมายอย่างคนรวย พวกเขามักทำทุกอย่างที่ทำได้เอง และใช้บริการที่ทำยากจาก "มืออาชีพ" เช่น การทำผม การซ่อมแซมเครื่องใช้ในบ้าน และการทำอาหาร
คนชั้นกลางที่ผมเห็นและที่ผมเป็นสมาชิกอยู่นั้น สามารถใช้สินค้าและบริการทุกอย่างได้เท่ากับคนชั้นสูงและมีทรัพย์สินที่จำเป็นเช่นบ้าน รถยนต์ เครื่องเสียง และอื่นๆ ที่ให้ความสุขกับชีวิต
สิ่งที่แตกต่างก็คือ เขาใช้มันได้ในราคาที่ต่ำกว่ามากเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมาก คุณภาพของสิ่งที่เขาใช้อาจจะต่ำกว่าบ้าง แต่มักจะมีสมรรถภาพเกิน 90% เมื่อเทียบกับสิ่งที่คนชั้นสูงใช้ สิ่งที่แตกต่างจริงๆ บางทีก็คือยี่ห้อหรือภาพพจน์เท่านั้น
การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น ถ้าจะเขียนคงเป็นหนังสือทั้งเล่มได้ แต่ผมจะลองไล่รายการเด่นๆ บางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นแนวทางที่คนชั้นกลางส่วนใหญ่ทำกัน
คนชั้นกลางนั้น อาจจะดูได้จากการใช้รถยนต์ ถ้าเป็นรถของตัวเองพวกเขามักจะใช้รถยี่ห้อประเภท โตโยต้า หรือฮอนด้า บ้านของพวกเขามักจะไม่อยู่ในหมู่บ้านที่หรูหรา และเป็นบ้านขนาดเล็กที่มีห้องพอดีกับจำนวนสมาชิก
เสื้อผ้าที่สวมใส่ มักจะไม่ใช่จากยี่ห้อดังของต่างประเทศ และถ้าจะเป็นมักเป็นสินค้าเลียนแบบ นานๆ ครั้งพวกเขาก็ซื้อสินค้ามียี่ห้อจริงๆ แต่ในราคาลดแบบ "แกรนด์เซล" คนชั้นกลางจำนวนมาก ไม่ได้ท่องเที่ยวมากนัก คนที่ท่องเที่ยวบ่อย จะใช้บริการของโรงแรมระดับอย่างมากก็สามดาว
ถ้าต้องบิน จะใช้บริการที่นั่งแบบประหยัด งานอดิเรกของคนชั้นกลางที่ทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการออกกำลัง เช่น การเต้นแอโรบิกและการตีกอล์ฟ ซึ่งถ้าจะทำ พวกเขาก็มักจะเลือกสโมสร หรือสนามที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก
สัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางบางอย่างที่น่าสนใจ น่าจะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้ เรื่องแรกที่ผมคิดว่าชัดเจนมาก ก็คือ สิ่งที่ผมพูดไปแล้วนั่นคือ การเข็นรถจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ การขับรถและรับโทรศัพท์เอง ทั้งที่เป็นผู้บริหารชั้นสูงในองค์กรขนาดใหญ่ อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำนั้น ผมคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่า เขาใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนที่กินอาหารจานด่วนอย่างเป็นเรื่องปกติ และชอบที่จะกินอาหารตามร้านอาหารที่ไม่หรูหรา แต่ราคาไม่แพงก็เป็นนิสัยของคนชั้นกลาง
ถ้าจะมองลึกๆ จริงๆ แล้ว หลักการสำคัญของคนชั้นกลาง ก็คือ การใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะ "เต็มที่" ในราคาที่ประหยัด พวกเขาชอบความสะดวกสบาย แต่ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าที่จะต้องพึ่งพิงคนอื่น พวกเขามักมีความคิดที่เป็นอิสรเสรี ไม่ชอบความเป็นเจ้าขุนมูลนาย ที่จะต้องมีบริวารพินอบพิเทา
การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น แน่นอน อย่างน้อยคุณจะต้องมีรายได้ หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นกลาง การใช้ชีวิตแบบคนชั้นสูง อย่างน้อยคุณก็ต้องมีรายได้ หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องของความเคยชิน หรือเป็นเรื่องของความพึงพอใจของเราเองด้วย ดังนั้น ในโลกปัจจุบันที่คนชั้นกลาง มีโอกาสมากขึ้นในการทำมาหากิน ทำให้มีคนชั้นกลางจำนวนมากกลายเป็นคนร่ำรวยแบบคนชั้นสูง คนเหล่านี้ ถ้าเป็นอดีต พวกเขาก็มักจะปรับมาตรฐานการดำรงชีวิตให้เป็นแบบคนชั้นสูง
แต่ในปัจจุบันผมเห็นว่า มีคนรวยยุคใหม่จำนวนมากไม่ได้ปรับวิถีชีวิตจากแบบคนชั้นกลางเป็นคนชั้นสูง พวกเขามีความสุขที่จะอยู่แบบคนชั้นกลางต่อไป ดังนั้น บางทีเราอาจจะพบคนบางคนในหมู่คนที่ใช้ชีวิตธรรมดามากทั้งที่เขามีความมั่งคั่งมาก และคนทั่วไปก็ไม่รู้เนื่องจากไม่มีอะไรที่แสดงถึงความมั่งคั่งของเขา ในสหรัฐ มีการศึกษาและพบว่า มีคนแบบนี้จำนวนมาก ในเมืองไทยเอง ผมก็รู้จักคนแบบนี้หลายคน แต่คนกลุ่มหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นว่า เกือบทุกคนมักจะใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางไม่ว่าเขาจะมีความมั่งคั่งแค่ไหนก็คือ Value Investor พันธุ์แท้ ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกาหรือในประเทศไทย
บางทีนี่อาจจะเป็นการ "เลือกทางธรรมชาติ" นั่นก็คือ คุณไม่มีทางเป็น Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงมากได้ถ้าคุณไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Thursday, February 19, 2009

ความพอเพียงแบบบัฟเฟตต์ โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถานีโทรทัศน์ CNBC ได้สัมภาษณ์ วอเร็น บัฟเฟตต์ และต่อไปนี้คือบางส่วนของการใช้ชีวิตที่ผมอยากจะพูดว่า “พอเพียงอย่างน่าทึ่ง” ของเขา

ข้อแรกก็คือ บัฟเฟตต์เป็นคนที่ขยันหาเงิน เก็บออม และลงทุน มาตั้งแต่เด็ก เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ แต่ก็ยังบอกว่าเขาเริ่มลงทุนช้าเกินไป พอถึงอายุ 14 ขวบ เขาก็สามารถเก็บเงินจากการส่งหนังสือพิมพ์เพียงพอที่จะซื้อไร่ขนาดย่อม ๆ ได้

ข้อสอง ทุกวันนี้ ในฐานะของเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยความมั่งคั่งประมาณ 4- 5 หมื่นล้านเหรียญ เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 3 ห้องนอนหลังเดิมที่ซื้อไว้หลังจากแต่งงานเมื่อ 50 ปี ก่อน บ้านหลังนี้ไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม แต่เขาบอกว่ามันมีทุกอย่างที่เขาต้องการ

ข้อสาม เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นที่ติดอันดับต้น ๆ ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่เขาก็ยังขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเองโดยไม่มีคนขับรถหรือผู้คุ้มกันอย่างผู้บริหารสูงสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ

ข้อสี่ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความ “ฟุ่มเฟือย” ประการเดียวก็คือการที่เขาเคยซื้อเครื่องบินส่วนตัวเก่าลำหนึ่งซึ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนรักและหุ้นส่วนสำคัญเคยตั้งชื่อให้ว่า “เถียงไม่ออก ” (Indefensible) เพื่อใช้ในการเดินทางไปทำธุรกิจ แต่หลังจากที่เขาพบบริษัท Executive Jet ที่ให้บริการเครื่องบินส่วนตัวแบบแชร์เวลากันใช้ที่ใหญ่ที่สุด เขาก็ขายเครื่องบิน “เถียงไม่ออก” ทิ้ง และซื้อบริษัท Executive Jet และใช้บริการเดินทางโดยเครื่องบินของบริษัทนี้แทน

ข้อห้า ในการบริหารบริษัทในเครือ 63 แห่งของเบิร์กไชร์นั้น บัฟเฟตต์จะปล่อยให้ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นดำเนินการอย่างอิสระ โดยเขาจะเขียนจดหมายถึงผู้บริหารเหล่านั้นเพียงปีละฉบับเดียวเพื่อให้เป้าหมายประจำปีที่จะต้องทำ เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับผู้บริหารเหล่านั้นเป็นประจำ กฎของบัฟเฟตต์ที่ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงสุดของเขามีเพียง 2 ข้อ นั่นคือ ข้อหนึ่ง อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย และข้อสองก็คือ อย่าลืมกฎข้อหนึ่ง

ข้อหก บัฟเฟตต์ไม่ได้คบค้ากับคนในวงการไฮโซ การพักผ่อนหย่อนใจของเขาเมื่อกลับบ้านก็คือ การทำข้าวโพดคั่วรับประทานและดูทีวี และที่สำคัญก็คือการเล่นไพ่บริดจ์ผ่านอินเตอร์เน็ต

ข้อเจ็ด บัฟเฟตต์ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือและไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน มีคนเคยถามว่าเขาคิดคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นหรือการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้อย่างไร เขาตอบว่า มันอยู่ใน “หัว” นั่นหมายความว่า การลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์แล้ว จะต้องเป็นสิ่งที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนขนาดที่จะต้องคำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนเรื่องการไม่ใช้โทรศัพท์มือถือนั้น น่าจะเป็นการบอกว่าเรื่องของการลงทุนนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องรีบด่วน

ข้อแปด คำแนะนำสำหรับคนหนุ่มสาวของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็คือ จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งในแง่ที่ว่า เขาไม่ได้แนะนำให้คนหนุ่มสาวลงทุนในหุ้น บัฟเฟตต์คงเห็นว่า การลงทุนในตัวเอง เช่น การศึกษาหาความรู้และฝึกฝนทักษะ นั้น น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง การใช้จ่ายโดยอิงกับบัตรเครดิตนั้น น่าจะนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนหนุ่มสาวมากที่สุด

สุดท้ายที่เป็นความน่าทึ่งก็คือ การพบกันเป็นครั้งแรกระหว่างบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน คือ บิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์เมื่อ 5 ปีก่อน ในครั้งนั้น บิล เกตส์คิดว่าบัฟเฟตต์กับตนนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยยกเว้นว่าจะรวยพอ ๆ กัน จึงกำหนดเวลานัดพบเพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อพบกันจริง ๆ พวกเขากลับคุยกันถึงสี่ชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับที่บัฟเฟตต์เองก็นับถือและยอมรับ บิล เกตส์ มาก และนั่นก็นำไปสู่การบริจาคเงินครั้งใหญ่ที่สุดในโลกจำนวน 31 พันล้านเหรียญของบัฟเฟตต์ให้แก่มูลนิธิของ บิล เกตส์ เมื่อปีที่แล้ว

และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิตที่ “พอเพียงอย่างน่าทึ่ง” ของราชันย์นักลงทุนแห่งโอมาฮา วอเร็น อี. บัฟเฟตต์