ช่วงนี้มีการขอคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินส่วนบุคคลมากมาย ดิฉันจึงคิดว่าหัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านด้วย จึงอยากหยิบยกมาเขียนในสัปดาห์นี้ค่ะ
“ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่สามารถใช้เงินออมของเราได้ตลอดเวลา ในบางครั้งเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก้อนที่ใหญ่กว่าเงินออมที่เรามี ซึ่งก็แน่นอนว่า เราต้องไปหยิบยืม หรือกู้จากผู้อื่น
จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนี้สินของครัวเรือนไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นไปเป็น 27.88% ของ จีดีพี หรือเท่ากับแต่ละครัวเรือนมีหนี้ 143,476.30 บาท หนี้ส่วนนี้จะมากหรือน้อย คิดจากอะไร? คำตอบในมุมมองของแต่ละครัวเรือนก็ต้องเทียบกับรายได้ค่ะ จากการสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2550 รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 18,660 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับ 223,920 บาทต่อปี
ถ้าคิดว่าในช่วงปี 2551 มีการเติบโตประมาณ 4% ก็จะทำให้รายได้ครัวเรือนในปี 2551 อยู่ที่ประมาณ 232,876 บาทต่อปี ดังนั้น หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 143,476.30 บาท จึงคิดเป็น 61.6% ของรายได้ต่อปี
ซึ่งถ้าถามว่าสูงหรือไม่ ก็ต้องตอบแนวเปรียบเทียบค่ะ ยังไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มีหนี้สินครัวเรือนประมาณ 136% ของรายได้ต่อปี ญี่ปุ่นประมาณ 130% เกาหลีใต้ประมาณ 148% เป็นต้น
แต่ปัญหาคือการกระจายตัวค่ะ ผู้มีรายได้สูงส่วนใหญ่จะไม่มีหนี้สินในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่สูงจะมีหนี้สินมาก เพราะฉะนั้น หนี้สินในครัวเรือนระดับกลางๆ อาจจะมีสัดส่วนถึง 200% ของรายได้ครัวเรือนมีหนี้สินจำนวนเท่าใด จึงจะไม่ทำให้เดือดร้อน อันนี้ตอบยากมาก เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับค่าใช้จ่ายครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ฯลฯ เอาเป็นว่าขอเสนอแนะแนวทางเพื่อให้ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ หรือนำไปแนะนำให้คนในครอบครัวปฏิบัติก็แล้วกันนะคะ
ขั้นแรก ก่อนที่จะบริหารหนี้ของครัวเรือน ท่านต้องมีข้อมูลเรื่องรายรับและรายจ่ายของครัวเรือน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่หลายๆ ครัวเรือนก็ไม่เคยทราบว่ามีรายได้ หรือรายจ่ายรวมเท่าไหร่ ถ้าท่านมีรายการมากมาย ท่านอาจต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย ธนาคารกสิกรไทยมีแจกแผ่นซีดีบันทึกข้อมูลให้ค่ะ สอบถามได้
โดยทั่วไป รายจ่ายไม่ควรเกินรายรับ ถ้าท่านมีหนี้สินด้วย เงินผ่อนชำระหนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเงินสดจ่าย แต่ไม่ใช่รายจ่ายทั้งหมด ส่วนที่ถือเป็นรายจ่ายคือดอกเบี้ย สำหรับส่วนที่ผ่อนเงินต้นนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านกู้ยืมไปใช้อะไร ถ้ากู้ไปซื้อบ้านหรือลงทุน ส่วนนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน แต่ถ้ากู้ไปใช้จ่าย เงินต้นที่จ่ายคืน จะถือเป็นรายจ่ายด้วยค่ะ
ถ้าท่านมีรายจ่ายและค่าผ่อนหนี้เกินกว่ารายรับที่มี ท่านต้องบริหารรายรับโดยการหารายได้เพิ่มเติม หรือบริหารรายจ่าย โดยการลดการใช้จ่ายลงก่อน
ขั้นที่สอง ท่านต้องสำรวจหนี้สินทั้งหมด โดยต้องมีข้อมูลทั้งจำนวนเงินกู้ยืมตั้งต้น จำนวนหนี้คงค้างอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการกู้ยืม เงื่อนไขการปรับกรณีผิดนัดชำระ เงื่อนไขการปรับกรณีจ่ายชำระคืนก่อนกำหนด หลักประกันที่ให้ไว้กับเจ้าหนี้ ฯลฯ
ขั้นที่สาม ประเมินความสามารถในการชำระคืนของตนเอง โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับไม่เกิน 35%ของรายได้ ถ้าท่านรวมแล้วภาระในการผ่อนชำระของท่านสูงเกินกว่า 50% ของรายได้ ท่านเสี่ยงต่อการเป็นหนี้อย่างถาวร คืออาจจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการมีหนี้ได้ ท่านต้องหาที่ปรึกษาอย่างรวดเร็ว
ยกเว้นในกรณีที่รายได้ของท่านสูงมาก และรายจ่ายของท่านอยู่ในระดับปกติ (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏ) เช่น ท่านมีรายได้สุทธิหลังหักภาษี 200,000 บาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อเดือน อย่างนี้ท่านก็สามารถจ่ายชำระหนี้ได้เดือนละ 150,000 บาท แต่ต้องแน่ใจนะคะว่าภาษีที่หักไว้นั้นหักครบถ้วน หากหักน้อยไป ท่านอาจจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในเดือนมีนาคม ที่ต้องยื่นชำระภาษีเงินได้เป็นเดือนสุดท้าย
ขั้นที่สี่ ชำระหนี้คืนเพิ่ม หากประเมินแล้ว มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มขึ้น ให้เลือกชำระคืนหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงก่อน แล้วค่อยเรียงลำดับไล่มาค่ะ หากไม่มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มก็ข้ามไปขั้นที่ห้า
ขั้นที่ห้า จัดการกับหนี้สิน คำว่าจัดการในที่นี้หมายถึง ยุบ (จ่ายคืนให้หมด) ย้าย (refinance) รวม เจรจา จะเลือกใช้วิธีไหนก็แล้วแต่กรณีค่ะ ขอยกตัวอย่างบางกรณีที่อาจเป็นประโยชน์
- สินเชื่อที่มีหลักประกันมักจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่ไม่มีหลักประกัน ถ้าท่านมีวงเงินเหลือ เช่นผ่อนบ้านไปพักหนึ่ง อยากต่อเติมบ้านเพิ่ม ท่านอาจไปขอเพิ่มวงเงินกู้ในส่วนที่ท่านผ่อนไปแล้วได้ อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าใช้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต่ำกว่าค่ะ แต่อาจจะมีเงื่อนไขประเภทการนำไปใช้นะคะ จะกู้เพิ่มเอาไปเที่ยว ธนาคารคงไม่ยอม
- ในบางช่วงธนาคารจะมีข้อเสนอให้ย้ายวงเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ท่านอาจพิจารณาย้ายวงเงินได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขให้ดีด้วยนะคะว่าท่านสามารถทำตามเงื่อนไขได้หรือไม่
- หากมีหนี้นอกระบบ พยายามนำเข้ามาในระบบ ส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาไม่ได้ เพราะไม่มีหลักประกันหรือรายได้ไม่แน่นอน ให้ลองดูว่าข้อเสนอใหม่ๆ ของธนาคารภาครัฐ บางครั้งอาจมีข้อเสนอที่เหมาะสมกับท่าน
- อย่ากู้ใหม่มาจ่ายชำระหนี้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง refinance ซึ่งคือการย้ายไปกู้สถาบันใหม่นะคะ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่วงเงินทางนี้เต็ม ก็เลยไปเปิดอีกวงเงินหนึ่ง เพื่อเอามาผ่อนชำระขั้นต่ำ ก็เลยเกิดดอกเบี้ยของดอกเบี้ย อย่างนี้ท่านจะเสี่ยงต่อการไม่สามารถหลุดออกจากวังวนของหนี้ได้
- ไม่เก้อเขินหรือเหนียมอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด บางครั้งปัญหาหนี้อาจเป็นปัญหาหนักมากสำหรับเรา ถ้าเราแก้เองอาจจะวนเวียนไม่สิ้นสุด ลองเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ แล้วย้ายมาเป็นลูกหนี้ท่านเหล่านี้แทน ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือไม่คิดดอกเบี้ย ไม่แปลกที่จะลองขอดู และถ้าถูกปฏิเสธก็ต้องเข้าใจ ไม่โกรธแค้น ผู้ใหญ่บางท่านจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการให้คนอื่นกู้ยืมเงิน เราต้องพยายามเข้าใจท่านด้วย
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการบริหารหนี้ค่ะ
Sunday, March 8, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment