ฐานะของ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ในวันนี้ เป็นบุคคลล้มละลายทั้งด้านการเงินและการเมือง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ก้มหัวให้กับชะตากรรมตรงหน้า พร้อมเตือนนักธุรกิจรุ่นน้องลุกขึ้นสู้เพื่อฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ให้ได้
แม้จะถูกคำสั่งศาลล้มละลายให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็ก เจ้าของสมญานาม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อันลือลั่นสะท้านวงการการเงินเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ยังมีความภูมิใจเหลืออยู่ ที่สามารถนำพาธุรกิจในเครือหลายๆ แห่ง ฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อปี 2540 มาได้ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีคนในตระกูล หอรุ่งเรือง เป็นผู้ถือหุ้นก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเดือดร้อน แถมยังมีกำไรด้วย
ปัจจุบัน บริษัท นครไทยสตริปมิล (เอ็นเอสเอ็ม) ที่เป็นหนี้มากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ถูกจับไปรวมกับกลุ่มจีสตีล ผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นรายใหญ่ในเครือ สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ขณะที่บริษัท เอ็น ทีเอส สตีล มูลหนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในแผนปรับโครงสร้างหนี้ ถูกจับไปรวมกับบริษัทเหล็กเส้นในเครือบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกขายให้กับบริษัททาทาสตีล (ประเทศไทย) ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย
สินทรัพย์ที่เหลือจริงๆ ที่พอจะชำระให้เจ้าหนี้ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการล้มละลายโดยสมบูรณ์แบบเป็นเวลา 3 ปี เป็นหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวในบริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งก็มีประมาณ 64 ล้านหุ้น นอกจากนั้นก็เป็นทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อเอาไปชำระหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง สวัสดิ์ บอกว่า เป็นหนี้ที่เขาสร้างเองประมาณ 10% ที่เหลือ 90% เป็นหนี้ค้ำประกันให้กับพรรคพวก
สวัสดิ์ บอกว่า หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเขาเองอาจจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ทรัพย์สินของตัวเองนั้นตอนนี้แทบไม่เหลือ อาจจะมีบางส่วนอยู่ในครอบครัวบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า "หอรุ่งเรือง" ไม่ได้มีเฉพาะ "สวัสดิ์" คนเดียว
"การทำธุรกิจของผม จะใช้วิธีการนำหุ้นของบริษัทที่เราทำไปจำนำ หรือจำนอง เพื่อหาเงินก้อนใหม่มาขยายธุรกิจ ซึ่งมันก็จะโยงกันไปโยงกันมาแบบนี้ แม้เราจะมีธุรกิจแสนล้านบาท แต่พ่อเราไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ 3 หมื่นล้านบาทซะที่ไหน เราเตาะแตะมาชั่วชีวิต จุดอ่อนมันมี เมื่อเราเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีข้อกำหนดผู้ประกอบการห้ามขายหุ้น เราก็มีวิธีเดียวคือตึ๊งหุ้น"
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องล้มละลายและชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป สวัสดิ์ ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม มีชีวิตชีวาตลอดเวลา ว่า "ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก ล้มละลายแล้วเรายังอยู่นอกคุก พวกเราชอบคิดลึกกันไปเอง อย่าไปยึดติด"
"ในชั่วโมงทำงานผมก็จะใช้ชีวิตอยู่กับออฟฟิศ มาทำโครงการนี้ โครงการต่อ ในชั่วโมงที่ดีที่สุดของชีวิต กับที่เลวที่สุด ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง" สวัสดิ์ กล่าว
"ผมทำงานอย่างเดียว เราทำงานโดยการสร้างธุรกิจหนึ่งขึ้นมา เมื่อมีกำไรก็เอาหุ้นไปขายบ้าง ไปจำนำบ้าง เพื่อไปทำโครงการอื่นๆ อีกขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ เมื่อบริษัทหนึ่งล้ม ก็ล้มตามกันไป แต่ถ้ารอดหมด ก็รวยไม่รู้เรื่องเหมือนกัน"
สวัสดิ์ บอกว่าแม้ตัวเองจะต้องล้มละลาย แต่ชีวิตการทำงานของตัวเองไม่ได้ถือว่าล้มเหลว เพราะด้วยข้อจำกัดทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ที่เขาเกิดมาในช่วงที่ดอกเบี้ยแพง ใช้เงินทุนของสถาบันการเงินมาทำธุรกิจ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด จึงอยากให้กำลังใจผู้ที่ต้องเผชิญหรือกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวเขาที่เชื่อว่ามีอยู่มากมายบนโลกนี้ อย่าไปท้อ อย่าไปสิ้นหวัง และที่สำคัญอย่าทิ้งความหวัง
"คนที่เจอเหตุการณ์ปี 2540 มาแล้ว ถึงวันนี้ไม่ยอมตาย เพราะพวกเขาสู้ ไม่ยอมหนีไปไหน และเขาก็รอดหมดทุกคน แต่เที่ยวนี้เหตุการณ์หนักกว่าตอนที่ผมตายอีก วันนี้แบงก์ไม่ยอมปล่อยกู้ ก็จะตายกันหมด สมัยผมที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ แบงก์ยังปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียนให้ เพราะแบงก์ได้กลายเป็นเจ้าของจากการแปลงหนี้เป็นทุน"
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง มีหนี้สินนับแสนล้านบาท แต่ด้วยปรัชญาการทำธุรกิจ ที่ไม่ยึดติดกับความเป็นเจ้าของ ทำงานทุกอย่างมีเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้ในวันนี้ สวัสดิ์ กำลังจะกลายเป็นคนปลอดหนี้ ยกเว้นหนี้ค้ำประกันส่วนบุคคล ที่เป็นกรรมเก่าที่เขาต้องมารับภาระในขณะนี้ แต่ 3 ปีจากนี้ไป เขาก็จะปลดบ่วงหนี้ได้
เขาบอกว่า หลังจากพ้นล้มละลายแล้ว ตัวเองก็พร้อมจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ต่อไป แต่ใช่ว่าช่วงนี้จะหยุดนิ่งไม่ทำงาน ยังคงต้องทำงานตลอด แต่จะไม่ทำอะไรที่มีผลผูกพันทางนิติกรรมต่างๆ
"ผมยังมีความฝัน แค่ 3 ปี (ระยะเวลาล้มละลาย) ผมแค่ล้มละลายทางธุรกิจ ผมล้มละลายทางการเมือง มันสมองความเป็นคนของผมไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ความเป็นมนุษย์ สติปัญญาไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนมาปรึกษาตลอด การทำธุรกิจหรือทำอะไร อย่าไปคิดถึงวันเกษียณ คุณอย่านำปัญหากลับบ้าน ทุกอย่างให้จบอยู่ที่ทำงาน หากคุณยังนำงานไปทำที่บ้าน ต่อให้หนุ่มแน่นแค่ไหน ไม่นานก็ตาย อย่าแบกปัญหากลับบ้าน"
สวัสดิ์ บอกว่า สิ่งที่เขาเป็นห่วงนักธุรกิจรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ ที่มีแรงต้านทานต่ำ และยังยึดติดกับเกียรติยศ หน้าตา และชื่อเสียง ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ลุกขึ้นสู้ กลายเป็นพันธนาการตัวเองให้ขาดอิสรภาพของชีวิต และที่สำคัญคนที่ล้มละลายที่กำลังคิดจะทำร้ายตัวเอง ให้กลับมาคิดใหม่ และต่อสู้อีกครั้ง
"การล้มละลายไม่ได้เสียอิสรภาพใดๆ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ให้ล้มไปแค่ 3 ปี แล้วเริ่มใหม่ อย่าให้เกิดขึ้นอีก ล้มละลายแค่ทำให้เราเสียหน้าและเกียรติยศ แต่วันนี้คนทั้งโลกเป็นเหมือนเราหมด เพราะฉะนั้นคนที่สู้เท่านั้นที่จะอยู่รอด"
สุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment