Wednesday, September 16, 2009

แนวคิดบริหารความเสี่ยงยุคใหม่ หลังวิกฤติเลแมน บราเดอร์ส

สัปดาห์นี้ของปีที่แล้ว หลังการล่มสลายของเลแมน บราเดอร์ส เศรษฐกิจการเงินโลกได้พลิกโฉมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในแง่ของปรัชญาและปฏิบัติ ในประเด็นแรก จากที่ยุโรปและสหรัฐเคยแย่งกันเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก กลับมาถือคติ "Small is Beautiful" กันหมด ถึงขนาดที่ ลอร์ด อแดร์ เทอร์เนอร์ ประธานของหน่วยงานรัฐที่ดูแลสถาบันการเงินของอังกฤษ หรือ Financial Services Authority ได้มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากการทำรายการทางการเงินต่างๆ ของสถาบันการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ที่เรียกกันว่า Tobin Tax ทางฝั่งอเมริกา ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แนะนำให้เด็กหัวกะทิรุ่นใหม่ของสหรัฐ เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์หรือหมอ แทนที่จะเลือกเรียนวิชาด้านการเงิน เพื่อหวังที่จะไปขุดทองในวอลล์สตรีท
สำหรับในประเด็นที่สอง จะเห็นได้ว่า ศัพท์ใหม่ๆ จากบิ๊กของโลกการเงิน ทั้ง เบน เบอร์นันเก้ ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ หรือลอร์ด เทอร์เนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ‘Systemic Risk’ ‘Procyclicality’ หรือ ‘Too Big to Fail’ ต่างก็ชี้ชัดว่าโลกทางการเงินในอนาคต จะมีแนวทางการปฏิบัติที่มีระบบการบริหารความเสี่ยงเข้ามาคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับจุลภาค (Micro-prudential) และระดับมหภาค (Macro-prudential) ที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ก็คือ การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินที่มีความครบเครื่องเพื่อให้สามารถทันเกมกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในอนาคตยิ่งขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมจึงขออธิบายโดยใช้บทความที่เขียน โดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งได้วิเคราะห์ความเสี่ยงของสถาบันการเงินต่างๆ ต่อระบบเศรษฐกิจในรูปแบบ Macro-prudential โดยผลการวิเคราะห์ดังกล่าว สามารถจะนำไปใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤติ เพื่อประเมินว่าควรที่จะเรียงลำดับการช่วยเหลือสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนหลังมากน้อยเท่าไร รวมถึงเพื่อหาค่าที่เหมาะสมให้กับสถาบันการเงินต่างๆ ดำรงเงินกองทุนและมาตรการอื่นๆ

หลักเกณฑ์ของการประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงิน มีอยู่ด้วยกันสามประการ ได้แก่ หนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ (Lumpiness) และ สาม ระดับความเกี่ยวข้อง (Exposure) กับปัจจัยความเสี่ยงร่วม

ในทางทฤษฎี การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินต่างๆ จะใช้ ค่า Shapley ในการประเมินเพื่อหาระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงิน สามารถทำได้โดยทดลองดังตาราง กรณีแรก ธนาคาร A ,B และ C ทำธุรกิจเพียงธนาคารเดียวในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A, B และ C 4 หน่วย กรณีที่สอง ธนาคาร A และ B ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 9 หน่วย นั่นก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 5 หน่วย (9 ลบ 4) กรณีที่สาม ธนาคาร A และ C ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 10 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 6 หน่วย (10 ลบ 4)

กรณีสุดท้าย ธนาคาร A , B และ C ทำธุรกิจอยู่สามธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสาม 15 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 4 หน่วย (15 ลบ 11) ค่า Shapley ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของทุกกรณีของแบงก์ A จึงเท่ากับ 4.5 หน่วย

โดยค่าดังกล่าว มีข้อดีกว่าการวิเคราะห์แบบอื่น ในลักษณะที่ว่า ได้พิจารณาถึงผลของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของกิจกรรมทางการเงินกับธนาคารอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้รับการพิจารณามาก่อนในช่วงก่อนวิกฤติในครั้งนี้

จากการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินผลของหลักเกณฑ์ทั้งสามข้างต้นได้ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การเพิ่มขึ้นของระดับความเสี่ยงของระบบสถาบันการเงิน จะมีค่าที่สูงกว่าการนำระดับความเสี่ยงของแบงก์แต่ละรายมาบวกกันตรงๆ เนื่องจากผลของการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของความเสี่ยงของธนาคารแต่ละราย ทำให้ผลรวมของความเสี่ยงทั้งระบบมีค่ามากกว่าการรวมกันตรงๆ แบบพีชคณิต

หลักเกณฑ์ที่สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ มีผลต่อระดับความเสี่ยงโดยรวม ในลักษณะที่ว่ายิ่งมีจำนวนธนาคารขนาดเล็กมากขึ้นเท่าใด ระดับความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ของทั้งระบบสถาบันการเงินก็ยิ่งจะลดลง ทว่าระดับความเสี่ยงเชิงระบบ จะไปตกอยู่ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเหลือจำนวนธนาคารขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยลง จากผลการศึกษาของ BIS สำหรับระบบธนาคารที่มีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง การที่จำนวนธนาคารขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจาก 5 แห่ง เป็น 25 แห่ง จะทำให้ระดับความเสี่ยงเชิงระบบลดจาก 9.8 เป็น 9.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์ ในขณะที่ระดับความเสี่ยงเชิงระบบของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะเพิ่มขึ้นจาก 4.3 เป็น 6.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์

สำหรับหลักเกณฑ์ที่สาม เกี่ยวกับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ จากรูป จะเห็นได้ว่าเมื่อสัดส่วนของธนาคารขนาดใหญ่ต่อระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 15 เท่า จะทำให้ระดับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบสูงขึ้นเกือบ 20 เท่า นั่นคือ ยิ่งจำนวนแบงก์ขนาดใหญ่มีเยอะขึ้นเท่าไร ระดับความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจนั้น ก็จะสูงขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของธนาคารขนาดใหญ่เสียอีก

เป็นที่น่าสังเกตว่า จากวิกฤติครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าตัวแปร ความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งใช้ค่าเฉลี่ยของความเสียหายส่วนเกิน หรือ Expected Shortfall (ES) ที่สามารถวัดได้จากค่าเฉลี่ยของความเสียหาย ที่มีขนาดสูงกว่าค่าความเสียหายที่ระบบธนาคารรับได้ แต่จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัว ผมถือว่ายังประเมินความเสียหายต่ำเกินไป เนื่องจาก ES ใช้สมมติฐานของตัวแปรทางการเงินในอดีตในการคำนวณ ซึ่งหากจะเกิดวิกฤติครั้งต่อไปในอนาคต คงไม่มีใครสามารถเดารูปแบบของวิกฤติได้ นั่นทำให้จะได้ ES ของสถาบันการเงินซึ่งเป็นจุดเปราะบาง มีค่าน้อยกว่าที่เป็นจริง เนื่องจากค่าของตัวแปรทางการเงินในอดีตที่ไว้คำนวณค่าดังกล่าว ซึ่งควรมีค่าสูงขึ้นมากนั้น จะสามารถหาได้ก็เมื่อวิกฤติเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เกิดกับเลแมน บราเดอร์ส เมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ หากมองจากข้อมูลของวันเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว แม้ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละรายจะสูง แต่ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ในตอนนั้นที่คำนวณจากข้อมูลในอดีตถือว่าไม่สูงมาก หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า บทความดังกล่าวของ BIS ยังให้ความสำคัญต่อระดับความเชื่อมโยงทางการเงินในระดับที่ลึกซึ้งถึงรายการทางการเงิน กับสถาบันการเงินอื่นๆ ทั่วโลก หรือ Degree of Interconnectedness น้อยเกินไป

อย่างไรก็ดี จากเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อ ทั้งระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ซึ่งเอไอจีที่เป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว มีระดับความเสี่ยงทั้งสามอยู่สูงมากนั้น ได้ตอกย้ำถึงความจริงที่ว่า การที่ทางการสหรัฐได้เข้าช่วยเหลือเอไอจีนั้น มีส่วนทำให้โลกทางการเงินแบบทุนนิยมมิต้องถึงการล่มสลาย แม้จะต้องแลกกับภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาลก็ตาม

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

boontham@econbizview.com

No comments:

Post a Comment