เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการคลังได้เข้าหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาทางออกให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัว และสามารถทำหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น จนนำมาสู่ข้อเสนอ หรือแนวคิดให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว มีเหตุผลที่สมควรรองรับ เนื่องจากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ยังประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะจากปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจดังกล่าว ได้แผ่ขยายผลกระทบออกไป จนนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งปัญหาการว่างงานในหลายภาคส่วนของธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการผ่อนคลายกฎการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ คือ
๐ การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยที่ผ่านมา ยังคงต่ำกว่าการหดตัวของจีดีพี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ถึง ไตรมาส 2/2552 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ลดลง 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก
๐ ยังคงมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ อันเป็นผลจากมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ตามความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า
๐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ อาจยังไม่เพียงพอในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมต้น ในหลักการแล้ว หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ น่าจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้นและอาจนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด แต่เนื่องจากสินเชื่อเป็น ‘ตัวแปรตาม’ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น
๐ แนวทางการค้ำประกันสินเชื่อ แม้เป็นแนวทางที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่ก็อาจต้องระวังผลกระทบที่จะตามมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การผ่อนคลายบางกฎเกณฑ์ตามที่หลายฝ่ายเสนอ อาทิ เกณฑ์การกันสำรองหนี้ตาม IAS 39 เกณฑ์หนี้จัดชั้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมทั้งมาตร ฐานเงินกองทุนใหม่ Basel II นั้น ในหลักการแล้ว น่าจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้น อันอาจนำมาสู่การขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลหลายด้านบ่งชี้ว่า การหดตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่ง น่าจะเป็น ‘ผล’ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการหดตัวของสินเชื่อนับจากช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ หรือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีจำนวนประมาณ 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 2.86 แสนล้านบาท (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤติ) ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ ผลการทดสอบเชิงเศรษฐมิติยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อ มักเกิดขึ้นตามหลังจีดีพีประมาณ 1-2 ไตรมาส นั่นหมายความว่า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพียงลำพัง อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อีกสาเหตุหนึ่งของสินเชื่อที่หดตัวลง มาจากปัญหาด้านอุปทาน อันได้แก่ การเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า ซึ่งเป็นปมที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นกัน
ดังนั้นการแก้ปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปสู่แนวทางการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้น ผ่านการขาดดุลงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรักษาความต่อเนื่องไว้ให้ได้ ท่ามกลางปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ได้อย่างเต็มที่
ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คงใช้เวลาในการแก้ปัญหาสั้นกว่าและอาจตอบโจทย์ปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการได้ดีกว่านั้น ก็คือ การที่ภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงบางส่วนของผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ กระนั้นก็ดีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว คงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เพราะถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีและใช้เวลานานในการแก้ไข อีกทั้งยังมีอาจนำมาสู่ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภายใต้มุมมองที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ภายใต้เงื่อนไขที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ หรือคลี่คลายลงไปนั้น
ความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชนก็คงจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่คงผ่อนปรนมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่ลดลงและการแข่งขันปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง
ท้ายที่สุดแล้ว ก็น่าจะทำให้สินเชื่อมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment