ย้อนหลังไปสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก คือประมาณ 50 ปีมาแล้ว ผู้คนในสังคมไทยสำหรับผม ดูเหมือนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ คน "ร่ำรวย" ซึ่งสัญลักษณ์ที่เห็นชัดเจนก็คือ การที่พวกเขามี "ข้าทาสบริวาร หรือคนดูแลรับใช้" นอกเหนือไปจากบ้านและทรัพย์สินเงินทอง ที่แสดงถึงความมั่งคั่งเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันหรือไม่ไกลจากกัน
อีกกลุ่มหนึ่งคือ คน "ยากจน" ที่ต้องทำงานทุกอย่างเองหรือทำงานรับใช้ให้กับคนรวย ซึ่งพวกเขามักจะอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม ชีวิตประจำวันของพวกเขาวนเวียนอยู่กับการทำงาน และไม่เคยท่องเที่ยวไปในที่ไกลๆ ไม่ต้องพูดถึงการไปต่างประเทศ แน่นอน ผมอยู่ในกลุ่มหลัง
การใช้ชีวิตแบบ คนรวย-คนจน ในสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผมเองไม่ได้สังเกตมากนักจนกระทั่งผมได้ไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา และกลับมาในราวปี 2529 หรือประมาณ กว่า 20 ปีมาแล้ว
ผมเริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่เมืองไทยของผมเริ่ม คล้ายกับการใช้ชีวิตสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา ประเด็นที่เหมือนกันและรู้สึกได้มากที่สุดก็คือ ข้อหนึ่ง ผมมีรถและขับเอง ข้อสอง ผมต้องไปจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตสมัยใหม่ทุกสัปดาห์ แบบที่ผมทำอยู่ที่เมืองนอก การเข็นรถและรอจ่ายเงินที่ทางออกของซูเปอร์มาร์เก็ต
ทีแรกผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไรนัก จนได้อ่านเจอข่าวที่นายซัลแมน รัชดี นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษที่เขียนเรื่อง Satanic Verses ที่ถูกผู้นำทางศาสนาอิสลามของอิหร่านตัดสินว่าหมิ่นศาสนา และสั่ง "ประหาร" ทำให้เขาต้องหลบซ่อนตัว เขาให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก ยกเว้นแต่ว่าชีวิตประจำวันที่เขาต้องจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตของเขานั้นขาดหายไป
หลังกลับจากอเมริกา ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าในสังคมไทยนั้น เรากำลังมีคนกลุ่มที่สามที่เรียกว่า "คนชั้นกลาง" คนกลุ่มนี้ที่รวมถึงตัวผมด้วยนั้น มีชีวิตที่ค่อนข้างเป็นอิสระ และไม่ได้มองหรือสนใจคนรวยหรือคนชั้นสูงอย่างที่เคยเป็น
ประการสำคัญก็คือ คนกลุ่มนี้มักมีการศึกษาที่ดีไม่แพ้คนชั้นสูง ในเรื่องของเงินทองหรือทรัพย์สินนั้น คนชั้นกลาง เริ่มมีงานที่สามารถทำเงินได้มากจนสามารถใช้จ่ายซื้อทรัพย์สิน หรือของใช้ที่จำเป็นแบบที่คนรวยเท่านั้น ที่สามารถซื้อได้ในสมัยก่อน
เพียงแต่ว่าบ้านหรือรถยนต์นั้นอาจจะไม่หรูหราเท่า พวกเขาเริ่มท่องเที่ยวไปในที่ไกลๆ และต่างประเทศ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มี "ข้าทาสบริวาร" หรือคนที่ทำงานให้มากมายอย่างคนรวย พวกเขามักทำทุกอย่างที่ทำได้เอง และใช้บริการที่ทำยากจาก "มืออาชีพ" เช่น การทำผม การซ่อมแซมเครื่องใช้ในบ้าน และการทำอาหาร
คนชั้นกลางที่ผมเห็นและที่ผมเป็นสมาชิกอยู่นั้น สามารถใช้สินค้าและบริการทุกอย่างได้เท่ากับคนชั้นสูงและมีทรัพย์สินที่จำเป็นเช่นบ้าน รถยนต์ เครื่องเสียง และอื่นๆ ที่ให้ความสุขกับชีวิต
สิ่งที่แตกต่างก็คือ เขาใช้มันได้ในราคาที่ต่ำกว่ามากเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมาก คุณภาพของสิ่งที่เขาใช้อาจจะต่ำกว่าบ้าง แต่มักจะมีสมรรถภาพเกิน 90% เมื่อเทียบกับสิ่งที่คนชั้นสูงใช้ สิ่งที่แตกต่างจริงๆ บางทีก็คือยี่ห้อหรือภาพพจน์เท่านั้น
การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น ถ้าจะเขียนคงเป็นหนังสือทั้งเล่มได้ แต่ผมจะลองไล่รายการเด่นๆ บางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นแนวทางที่คนชั้นกลางส่วนใหญ่ทำกัน
คนชั้นกลางนั้น อาจจะดูได้จากการใช้รถยนต์ ถ้าเป็นรถของตัวเองพวกเขามักจะใช้รถยี่ห้อประเภท โตโยต้า หรือฮอนด้า บ้านของพวกเขามักจะไม่อยู่ในหมู่บ้านที่หรูหรา และเป็นบ้านขนาดเล็กที่มีห้องพอดีกับจำนวนสมาชิก
เสื้อผ้าที่สวมใส่ มักจะไม่ใช่จากยี่ห้อดังของต่างประเทศ และถ้าจะเป็นมักเป็นสินค้าเลียนแบบ นานๆ ครั้งพวกเขาก็ซื้อสินค้ามียี่ห้อจริงๆ แต่ในราคาลดแบบ "แกรนด์เซล" คนชั้นกลางจำนวนมาก ไม่ได้ท่องเที่ยวมากนัก คนที่ท่องเที่ยวบ่อย จะใช้บริการของโรงแรมระดับอย่างมากก็สามดาว
ถ้าต้องบิน จะใช้บริการที่นั่งแบบประหยัด งานอดิเรกของคนชั้นกลางที่ทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการออกกำลัง เช่น การเต้นแอโรบิกและการตีกอล์ฟ ซึ่งถ้าจะทำ พวกเขาก็มักจะเลือกสโมสร หรือสนามที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก
สัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางบางอย่างที่น่าสนใจ น่าจะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้ เรื่องแรกที่ผมคิดว่าชัดเจนมาก ก็คือ สิ่งที่ผมพูดไปแล้วนั่นคือ การเข็นรถจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ การขับรถและรับโทรศัพท์เอง ทั้งที่เป็นผู้บริหารชั้นสูงในองค์กรขนาดใหญ่ อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำนั้น ผมคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่า เขาใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนที่กินอาหารจานด่วนอย่างเป็นเรื่องปกติ และชอบที่จะกินอาหารตามร้านอาหารที่ไม่หรูหรา แต่ราคาไม่แพงก็เป็นนิสัยของคนชั้นกลาง
ถ้าจะมองลึกๆ จริงๆ แล้ว หลักการสำคัญของคนชั้นกลาง ก็คือ การใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะ "เต็มที่" ในราคาที่ประหยัด พวกเขาชอบความสะดวกสบาย แต่ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าที่จะต้องพึ่งพิงคนอื่น พวกเขามักมีความคิดที่เป็นอิสรเสรี ไม่ชอบความเป็นเจ้าขุนมูลนาย ที่จะต้องมีบริวารพินอบพิเทา
การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น แน่นอน อย่างน้อยคุณจะต้องมีรายได้ หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นกลาง การใช้ชีวิตแบบคนชั้นสูง อย่างน้อยคุณก็ต้องมีรายได้ หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องของความเคยชิน หรือเป็นเรื่องของความพึงพอใจของเราเองด้วย ดังนั้น ในโลกปัจจุบันที่คนชั้นกลาง มีโอกาสมากขึ้นในการทำมาหากิน ทำให้มีคนชั้นกลางจำนวนมากกลายเป็นคนร่ำรวยแบบคนชั้นสูง คนเหล่านี้ ถ้าเป็นอดีต พวกเขาก็มักจะปรับมาตรฐานการดำรงชีวิตให้เป็นแบบคนชั้นสูง
แต่ในปัจจุบันผมเห็นว่า มีคนรวยยุคใหม่จำนวนมากไม่ได้ปรับวิถีชีวิตจากแบบคนชั้นกลางเป็นคนชั้นสูง พวกเขามีความสุขที่จะอยู่แบบคนชั้นกลางต่อไป ดังนั้น บางทีเราอาจจะพบคนบางคนในหมู่คนที่ใช้ชีวิตธรรมดามากทั้งที่เขามีความมั่งคั่งมาก และคนทั่วไปก็ไม่รู้เนื่องจากไม่มีอะไรที่แสดงถึงความมั่งคั่งของเขา ในสหรัฐ มีการศึกษาและพบว่า มีคนแบบนี้จำนวนมาก ในเมืองไทยเอง ผมก็รู้จักคนแบบนี้หลายคน แต่คนกลุ่มหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นว่า เกือบทุกคนมักจะใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางไม่ว่าเขาจะมีความมั่งคั่งแค่ไหนก็คือ Value Investor พันธุ์แท้ ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกาหรือในประเทศไทย
บางทีนี่อาจจะเป็นการ "เลือกทางธรรมชาติ" นั่นก็คือ คุณไม่มีทางเป็น Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงมากได้ถ้าคุณไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Monday, February 23, 2009
Thursday, February 19, 2009
ความพอเพียงแบบบัฟเฟตต์ โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถานีโทรทัศน์ CNBC ได้สัมภาษณ์ วอเร็น บัฟเฟตต์ และต่อไปนี้คือบางส่วนของการใช้ชีวิตที่ผมอยากจะพูดว่า “พอเพียงอย่างน่าทึ่ง” ของเขา
ข้อแรกก็คือ บัฟเฟตต์เป็นคนที่ขยันหาเงิน เก็บออม และลงทุน มาตั้งแต่เด็ก เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ แต่ก็ยังบอกว่าเขาเริ่มลงทุนช้าเกินไป พอถึงอายุ 14 ขวบ เขาก็สามารถเก็บเงินจากการส่งหนังสือพิมพ์เพียงพอที่จะซื้อไร่ขนาดย่อม ๆ ได้
ข้อสอง ทุกวันนี้ ในฐานะของเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยความมั่งคั่งประมาณ 4- 5 หมื่นล้านเหรียญ เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 3 ห้องนอนหลังเดิมที่ซื้อไว้หลังจากแต่งงานเมื่อ 50 ปี ก่อน บ้านหลังนี้ไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม แต่เขาบอกว่ามันมีทุกอย่างที่เขาต้องการ
ข้อสาม เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นที่ติดอันดับต้น ๆ ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่เขาก็ยังขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเองโดยไม่มีคนขับรถหรือผู้คุ้มกันอย่างผู้บริหารสูงสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ
ข้อสี่ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความ “ฟุ่มเฟือย” ประการเดียวก็คือการที่เขาเคยซื้อเครื่องบินส่วนตัวเก่าลำหนึ่งซึ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนรักและหุ้นส่วนสำคัญเคยตั้งชื่อให้ว่า “เถียงไม่ออก ” (Indefensible) เพื่อใช้ในการเดินทางไปทำธุรกิจ แต่หลังจากที่เขาพบบริษัท Executive Jet ที่ให้บริการเครื่องบินส่วนตัวแบบแชร์เวลากันใช้ที่ใหญ่ที่สุด เขาก็ขายเครื่องบิน “เถียงไม่ออก” ทิ้ง และซื้อบริษัท Executive Jet และใช้บริการเดินทางโดยเครื่องบินของบริษัทนี้แทน
ข้อห้า ในการบริหารบริษัทในเครือ 63 แห่งของเบิร์กไชร์นั้น บัฟเฟตต์จะปล่อยให้ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นดำเนินการอย่างอิสระ โดยเขาจะเขียนจดหมายถึงผู้บริหารเหล่านั้นเพียงปีละฉบับเดียวเพื่อให้เป้าหมายประจำปีที่จะต้องทำ เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับผู้บริหารเหล่านั้นเป็นประจำ กฎของบัฟเฟตต์ที่ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงสุดของเขามีเพียง 2 ข้อ นั่นคือ ข้อหนึ่ง อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย และข้อสองก็คือ อย่าลืมกฎข้อหนึ่ง
ข้อหก บัฟเฟตต์ไม่ได้คบค้ากับคนในวงการไฮโซ การพักผ่อนหย่อนใจของเขาเมื่อกลับบ้านก็คือ การทำข้าวโพดคั่วรับประทานและดูทีวี และที่สำคัญก็คือการเล่นไพ่บริดจ์ผ่านอินเตอร์เน็ต
ข้อเจ็ด บัฟเฟตต์ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือและไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน มีคนเคยถามว่าเขาคิดคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นหรือการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้อย่างไร เขาตอบว่า มันอยู่ใน “หัว” นั่นหมายความว่า การลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์แล้ว จะต้องเป็นสิ่งที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนขนาดที่จะต้องคำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนเรื่องการไม่ใช้โทรศัพท์มือถือนั้น น่าจะเป็นการบอกว่าเรื่องของการลงทุนนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องรีบด่วน
ข้อแปด คำแนะนำสำหรับคนหนุ่มสาวของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็คือ จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งในแง่ที่ว่า เขาไม่ได้แนะนำให้คนหนุ่มสาวลงทุนในหุ้น บัฟเฟตต์คงเห็นว่า การลงทุนในตัวเอง เช่น การศึกษาหาความรู้และฝึกฝนทักษะ นั้น น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง การใช้จ่ายโดยอิงกับบัตรเครดิตนั้น น่าจะนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนหนุ่มสาวมากที่สุด
สุดท้ายที่เป็นความน่าทึ่งก็คือ การพบกันเป็นครั้งแรกระหว่างบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน คือ บิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์เมื่อ 5 ปีก่อน ในครั้งนั้น บิล เกตส์คิดว่าบัฟเฟตต์กับตนนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยยกเว้นว่าจะรวยพอ ๆ กัน จึงกำหนดเวลานัดพบเพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อพบกันจริง ๆ พวกเขากลับคุยกันถึงสี่ชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับที่บัฟเฟตต์เองก็นับถือและยอมรับ บิล เกตส์ มาก และนั่นก็นำไปสู่การบริจาคเงินครั้งใหญ่ที่สุดในโลกจำนวน 31 พันล้านเหรียญของบัฟเฟตต์ให้แก่มูลนิธิของ บิล เกตส์ เมื่อปีที่แล้ว
และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิตที่ “พอเพียงอย่างน่าทึ่ง” ของราชันย์นักลงทุนแห่งโอมาฮา วอเร็น อี. บัฟเฟตต์
ข้อแรกก็คือ บัฟเฟตต์เป็นคนที่ขยันหาเงิน เก็บออม และลงทุน มาตั้งแต่เด็ก เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ แต่ก็ยังบอกว่าเขาเริ่มลงทุนช้าเกินไป พอถึงอายุ 14 ขวบ เขาก็สามารถเก็บเงินจากการส่งหนังสือพิมพ์เพียงพอที่จะซื้อไร่ขนาดย่อม ๆ ได้
ข้อสอง ทุกวันนี้ ในฐานะของเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยความมั่งคั่งประมาณ 4- 5 หมื่นล้านเหรียญ เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 3 ห้องนอนหลังเดิมที่ซื้อไว้หลังจากแต่งงานเมื่อ 50 ปี ก่อน บ้านหลังนี้ไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม แต่เขาบอกว่ามันมีทุกอย่างที่เขาต้องการ
ข้อสาม เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นที่ติดอันดับต้น ๆ ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่เขาก็ยังขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเองโดยไม่มีคนขับรถหรือผู้คุ้มกันอย่างผู้บริหารสูงสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ
ข้อสี่ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความ “ฟุ่มเฟือย” ประการเดียวก็คือการที่เขาเคยซื้อเครื่องบินส่วนตัวเก่าลำหนึ่งซึ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนรักและหุ้นส่วนสำคัญเคยตั้งชื่อให้ว่า “เถียงไม่ออก ” (Indefensible) เพื่อใช้ในการเดินทางไปทำธุรกิจ แต่หลังจากที่เขาพบบริษัท Executive Jet ที่ให้บริการเครื่องบินส่วนตัวแบบแชร์เวลากันใช้ที่ใหญ่ที่สุด เขาก็ขายเครื่องบิน “เถียงไม่ออก” ทิ้ง และซื้อบริษัท Executive Jet และใช้บริการเดินทางโดยเครื่องบินของบริษัทนี้แทน
ข้อห้า ในการบริหารบริษัทในเครือ 63 แห่งของเบิร์กไชร์นั้น บัฟเฟตต์จะปล่อยให้ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นดำเนินการอย่างอิสระ โดยเขาจะเขียนจดหมายถึงผู้บริหารเหล่านั้นเพียงปีละฉบับเดียวเพื่อให้เป้าหมายประจำปีที่จะต้องทำ เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับผู้บริหารเหล่านั้นเป็นประจำ กฎของบัฟเฟตต์ที่ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงสุดของเขามีเพียง 2 ข้อ นั่นคือ ข้อหนึ่ง อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย และข้อสองก็คือ อย่าลืมกฎข้อหนึ่ง
ข้อหก บัฟเฟตต์ไม่ได้คบค้ากับคนในวงการไฮโซ การพักผ่อนหย่อนใจของเขาเมื่อกลับบ้านก็คือ การทำข้าวโพดคั่วรับประทานและดูทีวี และที่สำคัญก็คือการเล่นไพ่บริดจ์ผ่านอินเตอร์เน็ต
ข้อเจ็ด บัฟเฟตต์ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือและไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน มีคนเคยถามว่าเขาคิดคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นหรือการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้อย่างไร เขาตอบว่า มันอยู่ใน “หัว” นั่นหมายความว่า การลงทุนสำหรับบัฟเฟตต์แล้ว จะต้องเป็นสิ่งที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนขนาดที่จะต้องคำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนเรื่องการไม่ใช้โทรศัพท์มือถือนั้น น่าจะเป็นการบอกว่าเรื่องของการลงทุนนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องรีบด่วน
ข้อแปด คำแนะนำสำหรับคนหนุ่มสาวของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็คือ จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งในแง่ที่ว่า เขาไม่ได้แนะนำให้คนหนุ่มสาวลงทุนในหุ้น บัฟเฟตต์คงเห็นว่า การลงทุนในตัวเอง เช่น การศึกษาหาความรู้และฝึกฝนทักษะ นั้น น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง การใช้จ่ายโดยอิงกับบัตรเครดิตนั้น น่าจะนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนหนุ่มสาวมากที่สุด
สุดท้ายที่เป็นความน่าทึ่งก็คือ การพบกันเป็นครั้งแรกระหว่างบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน คือ บิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์เมื่อ 5 ปีก่อน ในครั้งนั้น บิล เกตส์คิดว่าบัฟเฟตต์กับตนนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยยกเว้นว่าจะรวยพอ ๆ กัน จึงกำหนดเวลานัดพบเพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อพบกันจริง ๆ พวกเขากลับคุยกันถึงสี่ชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับที่บัฟเฟตต์เองก็นับถือและยอมรับ บิล เกตส์ มาก และนั่นก็นำไปสู่การบริจาคเงินครั้งใหญ่ที่สุดในโลกจำนวน 31 พันล้านเหรียญของบัฟเฟตต์ให้แก่มูลนิธิของ บิล เกตส์ เมื่อปีที่แล้ว
และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิตที่ “พอเพียงอย่างน่าทึ่ง” ของราชันย์นักลงทุนแห่งโอมาฮา วอเร็น อี. บัฟเฟตต์
บัฟเฟตต์พูด โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อไม่กี่วันมานี้ Sham Gad ซึ่งเป็นนักศึกษา MBA ที่กำลังจะจบของมหาวิทยาลัยจอร์เจียได้มีโอกาสพาเพื่อนนักศึกษาเข้าพบและพูดคุยกับวอเร็น บัฟเฟตต์ และต่อไปนี้คือสาระบางส่วนของการตอบคำถามที่ถูกนำมาขึ้นใน BLOG ส่วนตัวของเขาที่เวป buffettspeak.blogspot.com
1. ถามว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงซื้อหุ้นเบิร์กไชร์ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังตกต่ำในปี 1962 บัฟเฟตต์ตอบว่า ราคาหุ้นในขณะนั้นอยู่ที่ 7 3/8 เหรียญ แต่บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน 10 – 11 เหรียญต่อหุ้น ขณะเดียวกันถึงบริษัทจะขาดทุน แต่ก็ได้ทยอยปิดโรงงานจาก 12 โรงเหลือเพียง 2 โรงทำให้มีกระแสเงินสดออกมาใช้ได้มาก นี่เป็นกรณีของการลงทุนในบริษัทที่มีกิจการย่ำแย่แต่มีทรัพย์สินมากซึ่งถือเป็นการลงทุนแบบ “ก้นบุหรี่” ในช่วงแรก ๆ ของการลงทุนของเขา ต่อมาบัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และใช้มันเป็นบริษัท Holding ที่ถือหุ้นอื่น ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ที่หุ้นเบิร์กไชร์มีราคาหุ้นละหลายหมื่นเหรียญ และทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็นคนที่รวยเป็นอันดับสองของโลก
2. กรณีการซื้อหุ้นของ See’s Candy ในปี 1972 เป็นกรณีของการซื้อธุรกิจที่มียี่ห้อที่แข็งแกร่งของ See’s ซึ่งขายลูกกวาดและช็อคโกแล็ต ซึ่งสามารถขึ้นราคาสินค้าได้บ่อย ๆ โดยลูกค้าไม่หันไปซื้อยี่ห้ออื่น บัฟเฟตต์บอกว่า เมื่อเขาจะลงทุน เขาจะถามคำถามข้อหนึ่ง นั่นคือ “คุณจะต้องรอนานแค่ไหนถึงจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้” และนี่คือกรณีแรก ๆ ที่บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนแนวการลงทุนจากแบบก้นบุหรี่มาเป็นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่มียี่ห้อโดดเด่น กิจการมีคุณภาพดีมากในราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับการลงทุนก่อนหน้านั้น
3. เมื่อถูกถามว่า 50 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นอเมริกันมีหุ้นราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากมาย เขาคิดว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกไหม คำตอบก็คือ โอกาสที่น่าสนใจมาก ๆ นั้น มาจากการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ คนนั้น จะตกใจจนตัวสั่นด้วยความกลัวและตื่นเต้นด้วยความโลภ และสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขาจะมี IQ เท่าไร ตัวบัฟเฟตต์เองนั้น ร่ำรวยขึ้นได้โดยการมองหากำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท 50 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะ มันเป็นเพียงเรื่องของการฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมมนุษย์ มันเป็นเรื่องของคนที่มองหาโอกาสขณะที่คนอื่นกำลังตื่นตกใจจากความกลัวหรือตื่นเต้นจากความโลภ สรุปง่าย ๆ น่าจะเป็นว่า บัฟเฟตต์มองว่าโอกาสในการทำกำไรมากมายจากตลาดหุ้นยังมีอยู่เสมอถ้าเราสามารถแยกตัวเองออกมาจากอารมณ์ต่าง ๆ
4.เรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ คำถามคือ บัฟเฟตต์สนใจสถานการณ์ของประเทศที่เขาจะลงทุนหรือไม่นอกจากเรื่องของบริษัทเอง คำตอบคือ เขาสนใจ และยกตัวอย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เขากำลังดูหุ้นพลังงาน 2 ตัว คือ PetroChina ของจีนกับ Yucos ของรัสเซีย ซึ่งบัฟเฟตต์เลือก PetroChina เขาบอกว่าราคาหุ้นตัวนี้ถูกมาก ทั้งบริษัทมีมูลค่าตลาดเพียง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ คือประมาณ 1 ใน 4 ของหุ้น Exxon แต่มีกำไรเท่ากับ 80 % ของ Exxon แต่สิ่งที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจซื้อก็คือเมื่อเขาอ่านรายงานประจำปีและพบว่าประธานของ PetroChina สัญญาว่าจะจ่ายปันผล 45% ของกำไรซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากในธุรกิจนี้ เขาบอกว่า ถ้าเป็นในสหรัฐ บริษัทควรมีมูลค่าตลาดถึง 85 พันล้านเหรียญ ดังนั้น เขาเลือก PetroChina หลังจากนั้น ในเดือนกรกฎาคม ก็ปรากฏว่า เจ้าของ Yucos ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในรัสเซียก็ถูกประธานาธิบดีปูตินสั่งจับโทษฐานที่ไปคิดแข่งกับปูติน บัฟเฟตต์บอกต่อว่า PetroChina รักษาคำพูดโดยการจ่ายปันผล 45% โดยคิดละเอียดเป็นทศนิยมหลายตำแหน่ง ในขณะที่ในรัสเซียนั้น สถานการณ์การเมืองย่ำแย่มาก
5. บัฟเฟตต์ได้พูดถึงกลยุทธ์การเลือกการลงทุนในกิจการว่า เขาจะแบ่งบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม โดยจะมีถาดใส่เอกสาร 3 ใบ ใบแรกคือถาด In ซึ่งจะเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ มีอนาคตที่สดใส ใบที่สองคือ Out หรือบริษัทที่ไม่ดี ไม่น่าสนใจลงทุน และถาดที่สามคือ Too hard ซึ่งแปลว่ายากเกินไปที่เขาจะเข้าใจ ซึ่งในกลุ่มหลังนี้มีมากเสียจนเขาพูดเล่น ๆ ว่าต้องมีถังขยะใบใหญ่ ๆ เอาไว้ทิ้ง นั่นคือ เขาแนะนำว่า เราควรเลือกหุ้นลงทุนน้อยตัวมาก เช่นในชีวิตนี้ ควรคิดว่าเรามีโอกาสที่จะลงทุนในหุ้นเพียง 20 ตัว ซึ่งจะทำให้เราระมัดระวังและศึกษาอย่างละเอียดก่อนที่จะลงทุน
6. สุดท้าย คำถามที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ นอกจากความสามารถของผู้บริหารและเรื่องของการดูข้อมูลทางด้านการเงินแล้ว ปัจจัยอะไรที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจได้เร็วมากในการลงทุน คำตอบก็คือ เขามีเครื่องกรองในการลงทุน 4 ข้อ
เครื่องกรองที่ 1 : เราสามารถเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนไหม มันจะเป็นอย่างไรในอีก10-20 ปีข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น Intel กับหมากฝรั่ง บัฟเฟตต์บอกว่าเขาจะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่เขารู้จักดี เช่น โค๊ก
เครื่องกรองที่ 2 : บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ นั่นเป็นเหตุให้เขาไม่ซื้อกิจการที่เป็นแฟชั่นเช่นของเล่นเด็ก แต่จะซื้อน้ำอัดลมและหมากฝรั่งที่มียี่ห้อและมีความได้เปรียบที่คนอื่นแข่งไม่ได้เครื่องกรองที่ 3 : บริษัทมีฝ่ายจัดการที่เราสามารถไว้วางใจได้หรือไม่
เครื่องกรองที่ 4 : ราคาหุ้นสมเหตุผลไหมและนั่นก็คือความคิดเห็นบางส่วนที่บัฟเฟตต์พูดกับนักศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นครั้งคราว และเป็นกลยุทธ์ที่ออกจากปากบัฟเฟตต์เอง ดังนั้น มันจึงเป็นของแท้
1. ถามว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงซื้อหุ้นเบิร์กไชร์ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังตกต่ำในปี 1962 บัฟเฟตต์ตอบว่า ราคาหุ้นในขณะนั้นอยู่ที่ 7 3/8 เหรียญ แต่บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน 10 – 11 เหรียญต่อหุ้น ขณะเดียวกันถึงบริษัทจะขาดทุน แต่ก็ได้ทยอยปิดโรงงานจาก 12 โรงเหลือเพียง 2 โรงทำให้มีกระแสเงินสดออกมาใช้ได้มาก นี่เป็นกรณีของการลงทุนในบริษัทที่มีกิจการย่ำแย่แต่มีทรัพย์สินมากซึ่งถือเป็นการลงทุนแบบ “ก้นบุหรี่” ในช่วงแรก ๆ ของการลงทุนของเขา ต่อมาบัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และใช้มันเป็นบริษัท Holding ที่ถือหุ้นอื่น ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ที่หุ้นเบิร์กไชร์มีราคาหุ้นละหลายหมื่นเหรียญ และทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็นคนที่รวยเป็นอันดับสองของโลก
2. กรณีการซื้อหุ้นของ See’s Candy ในปี 1972 เป็นกรณีของการซื้อธุรกิจที่มียี่ห้อที่แข็งแกร่งของ See’s ซึ่งขายลูกกวาดและช็อคโกแล็ต ซึ่งสามารถขึ้นราคาสินค้าได้บ่อย ๆ โดยลูกค้าไม่หันไปซื้อยี่ห้ออื่น บัฟเฟตต์บอกว่า เมื่อเขาจะลงทุน เขาจะถามคำถามข้อหนึ่ง นั่นคือ “คุณจะต้องรอนานแค่ไหนถึงจะสามารถขึ้นราคาสินค้าได้” และนี่คือกรณีแรก ๆ ที่บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนแนวการลงทุนจากแบบก้นบุหรี่มาเป็นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่มียี่ห้อโดดเด่น กิจการมีคุณภาพดีมากในราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับการลงทุนก่อนหน้านั้น
3. เมื่อถูกถามว่า 50 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นอเมริกันมีหุ้นราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากมาย เขาคิดว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกไหม คำตอบก็คือ โอกาสที่น่าสนใจมาก ๆ นั้น มาจากการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ คนนั้น จะตกใจจนตัวสั่นด้วยความกลัวและตื่นเต้นด้วยความโลภ และสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขาจะมี IQ เท่าไร ตัวบัฟเฟตต์เองนั้น ร่ำรวยขึ้นได้โดยการมองหากำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท 50 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะ มันเป็นเพียงเรื่องของการฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมมนุษย์ มันเป็นเรื่องของคนที่มองหาโอกาสขณะที่คนอื่นกำลังตื่นตกใจจากความกลัวหรือตื่นเต้นจากความโลภ สรุปง่าย ๆ น่าจะเป็นว่า บัฟเฟตต์มองว่าโอกาสในการทำกำไรมากมายจากตลาดหุ้นยังมีอยู่เสมอถ้าเราสามารถแยกตัวเองออกมาจากอารมณ์ต่าง ๆ
4.เรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ คำถามคือ บัฟเฟตต์สนใจสถานการณ์ของประเทศที่เขาจะลงทุนหรือไม่นอกจากเรื่องของบริษัทเอง คำตอบคือ เขาสนใจ และยกตัวอย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เขากำลังดูหุ้นพลังงาน 2 ตัว คือ PetroChina ของจีนกับ Yucos ของรัสเซีย ซึ่งบัฟเฟตต์เลือก PetroChina เขาบอกว่าราคาหุ้นตัวนี้ถูกมาก ทั้งบริษัทมีมูลค่าตลาดเพียง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ คือประมาณ 1 ใน 4 ของหุ้น Exxon แต่มีกำไรเท่ากับ 80 % ของ Exxon แต่สิ่งที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจซื้อก็คือเมื่อเขาอ่านรายงานประจำปีและพบว่าประธานของ PetroChina สัญญาว่าจะจ่ายปันผล 45% ของกำไรซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากในธุรกิจนี้ เขาบอกว่า ถ้าเป็นในสหรัฐ บริษัทควรมีมูลค่าตลาดถึง 85 พันล้านเหรียญ ดังนั้น เขาเลือก PetroChina หลังจากนั้น ในเดือนกรกฎาคม ก็ปรากฏว่า เจ้าของ Yucos ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในรัสเซียก็ถูกประธานาธิบดีปูตินสั่งจับโทษฐานที่ไปคิดแข่งกับปูติน บัฟเฟตต์บอกต่อว่า PetroChina รักษาคำพูดโดยการจ่ายปันผล 45% โดยคิดละเอียดเป็นทศนิยมหลายตำแหน่ง ในขณะที่ในรัสเซียนั้น สถานการณ์การเมืองย่ำแย่มาก
5. บัฟเฟตต์ได้พูดถึงกลยุทธ์การเลือกการลงทุนในกิจการว่า เขาจะแบ่งบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม โดยจะมีถาดใส่เอกสาร 3 ใบ ใบแรกคือถาด In ซึ่งจะเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ มีอนาคตที่สดใส ใบที่สองคือ Out หรือบริษัทที่ไม่ดี ไม่น่าสนใจลงทุน และถาดที่สามคือ Too hard ซึ่งแปลว่ายากเกินไปที่เขาจะเข้าใจ ซึ่งในกลุ่มหลังนี้มีมากเสียจนเขาพูดเล่น ๆ ว่าต้องมีถังขยะใบใหญ่ ๆ เอาไว้ทิ้ง นั่นคือ เขาแนะนำว่า เราควรเลือกหุ้นลงทุนน้อยตัวมาก เช่นในชีวิตนี้ ควรคิดว่าเรามีโอกาสที่จะลงทุนในหุ้นเพียง 20 ตัว ซึ่งจะทำให้เราระมัดระวังและศึกษาอย่างละเอียดก่อนที่จะลงทุน
6. สุดท้าย คำถามที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ นอกจากความสามารถของผู้บริหารและเรื่องของการดูข้อมูลทางด้านการเงินแล้ว ปัจจัยอะไรที่ทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจได้เร็วมากในการลงทุน คำตอบก็คือ เขามีเครื่องกรองในการลงทุน 4 ข้อ
เครื่องกรองที่ 1 : เราสามารถเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนไหม มันจะเป็นอย่างไรในอีก10-20 ปีข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น Intel กับหมากฝรั่ง บัฟเฟตต์บอกว่าเขาจะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่เขารู้จักดี เช่น โค๊ก
เครื่องกรองที่ 2 : บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ นั่นเป็นเหตุให้เขาไม่ซื้อกิจการที่เป็นแฟชั่นเช่นของเล่นเด็ก แต่จะซื้อน้ำอัดลมและหมากฝรั่งที่มียี่ห้อและมีความได้เปรียบที่คนอื่นแข่งไม่ได้เครื่องกรองที่ 3 : บริษัทมีฝ่ายจัดการที่เราสามารถไว้วางใจได้หรือไม่
เครื่องกรองที่ 4 : ราคาหุ้นสมเหตุผลไหมและนั่นก็คือความคิดเห็นบางส่วนที่บัฟเฟตต์พูดกับนักศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นครั้งคราว และเป็นกลยุทธ์ที่ออกจากปากบัฟเฟตต์เอง ดังนั้น มันจึงเป็นของแท้
Monday, February 16, 2009
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : เกษียณก่อนกำหนด
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Value Investor หนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยมักคิดถึงเรื่องการ "เกษียณก่อนกำหนด" บางคนบอกว่าอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ 40-50 ปี โดยที่พวกเขามักวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่า จะมีเงินเพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องทำงาน หรือเรียกว่ามี "อิสรภาพทางการเงิน" ได้ในวันที่เกษียณ
หลังจากนั้น เขาก็จะลงทุนเพียงอย่างเดียว โดยใช้ชีวิตและเวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบ และเป็นประโยชน์ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดและเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมไม่แน่ใจว่า คนตั้งนั้นได้กำหนดเป้าอย่างสมจริงและมีเหตุผลดีพอหรือไม่
บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่า ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในอนาคต อาจจะมากกว่าปัจจุบันที่เขายังเป็นหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบคนอื่นนอกจากตนเอง บางทีเขาอาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวต่อปีโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่เขาจะทำได้จริงๆ เช่น ตั้งไว้ถึงปีละ 15% ซึ่งเป็นสถิติระดับโลก เป็นต้น
ในฐานะของคนที่ผ่านชีวิตการ "เกษียณก่อนกำหนด" มาแล้ว ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมาย "เกษียณก่อนกำหนด" อาจจะไม่มีความจำเป็นเลย ว่าที่จริงผมเองไม่เคยตั้งเป้าเกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ผมคิดว่าชีวิตคนนั้นไม่มีวันเกษียณ วันที่เกษียณ ก็คือวันที่เราตาย
ดังนั้น ผมจึงคิดแต่ว่า เราจะทำงานไปเรื่อยๆ ถ้างานนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงงาน และเวลาที่เราเสียไป รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงานนั้นด้วย การที่คิดว่าตนเองมีเงิน "พอ" นั้น เราอาจจะลืมเผื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety ไว้
ลองนึกดูว่า ถ้าเรามีเงินที่อยู่ในหุ้น 20 ล้านบาทแล้ว เราคิดว่าเราสามารถเลิกทำงานประจำได้ เราลาออกจากงาน แต่แล้วตลาดเกิดวิกฤติราคาหุ้นของเราตกลงมาเหลือเพียง 10 ล้าน อิสรภาพทางการเงินของเราอาจจะหายไป ดังนั้น การทำงานประจำต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นการเพิ่ม Margin of Safety และทำให้เรามีเงินมากขึ้น รวยขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้น
การที่จะ "เกษียณ" เมื่อไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณากันในช่วงเวลานั้น การตั้งเป้าล่วงหน้าไปไกลๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้ามันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมาย หรือกลยุทธ์ที่บีบรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เราต้อง "เสียสละ" ความสุขมากเกินไป เพื่อที่จะไปถึง "เป้าหมาย" ที่เราคิดว่ามีความหมายมากในวันนี้ แต่อาจจะไม่มีความหมายเมื่อเราไปถึง
ผมคิดว่า "ชีวิตคือการเดินทาง" เราต้องพยายามมีความสุขกับมันตลอดเส้นทาง เป้าหมายของชีวิตที่เราพูดถึง แท้ที่จริงมันคือหลักไมล์ต่างๆ ที่เราวางแผนจะเดินผ่าน การมี "อิสรภาพทางการเงิน" นั้น เป็นหลักไมล์ที่สำคัญ เพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่เราชอบและมีความสุขได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะต้องเกษียณจากงานประจำถ้างานประจำนั้น ยังให้ผลตอบแทนต่างๆ คุ้มค่าและเรา "เลือก" ที่จะทำต่อไป
ในความเห็นของผมนั้น แผนของชีวิตที่เราควรมีและกำหนดให้ชัดเจนก็คือ แน่นอน เราควรมีเงินเท่าไรในแต่ละช่วงชีวิต เช่น เมื่ออายุ 40 ปี 50 ปี 60 ปี และในวันที่เราตายที่ 80 ปี เป็นต้น
สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนวณ ก็คือ รายได้จากการทำงานที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้น ผมคิดว่า ควรตั้งไว้ว่าเงินรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7% รายจ่ายนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของครอบครัว จะต้องคำนึงถึงเรื่องการเลี้ยงดูและให้การศึกษากับลูกๆ และการดูแลพ่อแม่ถ้ามี ในกรณีนี้ คนที่ยังเป็นโสด อาจจะคาดการณ์ได้ยากกว่า เพราะยังไม่มีสถิติ และข้อมูลในอดีต และปัจจุบันที่จะบอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร รายจ่ายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องตั้งไว้ ก็คือ รายจ่ายสำหรับรายการใหญ่ๆ เช่น การซื้อบ้านเป็นของตนเองถ้ายังไม่มี การเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ หรือต่างประเทศ เช่น บางคนอาจตั้งว่าจะเดินทางเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองปีครั้ง เป็นต้น
แผนการเงินที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การออมและการลงทุน นี่อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการที่เราจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปี ควรจะกำหนดเป็นเป้าหมายว่า เราจะออมโดยเฉลี่ยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ผมคิดว่าอย่างน้อย 10% นี่คงต้องคำนึงถึงรายจ่ายของแต่ละคน ที่มีภาระไม่เท่ากัน
คนที่มีบ้านอยู่แล้ว ส่วนใหญ่น่าจะสามารถเก็บออมได้ดีกว่าคนที่ไม่มีบ้านและต้องผ่อนส่งอยู่ จะเก็บออมกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ควรคำนึงถึงว่าเงินที่เหลืออยู่นั้น ไม่ทำให้ชีวิตของเราขัดสน จนหาความสุขไม่ได้
การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออม ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยยกเว้นว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีฝีมือสูง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าในระยะยาว หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความสะดวกในการทยอยลงทุนได้ดีกว่าหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอย่างอื่น
ดังนั้น ควรตั้งเป้าว่าเงินออมของเรา อย่างน้อยจะต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย นั่นจะเป็นเครื่องมือในการคุมให้ตนเองอยู่กับหุ้นได้ในยามที่ตลาดหุ้น "ไม่ดี" ซึ่งมักจะเป็นโอกาสดีของการลงทุนในหุ้น
จากแผนทั้งหมดที่กล่าวถึง เราอาจกำหนดหลักไมล์คร่าวๆ ได้ว่าเราจะมี "อิสรภาพทางการเงิน" เมื่อเรามีอายุเท่าไร แผนที่ดีนั้น เราควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณปีละ 3% ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้เงิน 20 ล้านบาทในวันนี้ อาจจะไม่พอในวันที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีอิสรภาพทางการเงินได้จริงๆ ก่อนอายุ 60 ปี ซึ่งทำให้เราไม่สามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ตามที่หวังไว้
อย่าเสียใจ หรือท้อถอย ชีวิตคือ "การเดินทาง" เงินคือปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่ทำให้การเดินทางง่าย สะดวก และน่ารื่นรมย์ แต่มันไม่จำเป็นต้องมากจนเหลือเฟือ คนรวยจำนวนมากกลับทุกข์มากกว่าคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนเกษียณก่อนกำหนด ก็ไม่ได้มีความสุขกันทุกคน หลายคนที่ผมรู้จักบ่นว่า เขาไม่รู้จะทำอะไรหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลก หลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
ข้อแนะนำสุดท้ายของผมสำหรับคนที่มองถึงการเกษียณก่อนกำหนด ก็คือ เราต้องมั่นใจว่ามีสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุขจริงในระยะยาว ผมเตือนเรื่องนี้ เพราะมักได้ยินคนบางคนพูดถึงเรื่องการสอนหนังสือหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
เหตุผลก็คือ การบรรยายหรือการสอนหนังสือเล็กๆ น้อยๆ นั้น ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกดีมีความสุข แต่การสอนนักเรียนที่ต้องมาฟังเราทุกสัปดาห์เพื่อให้สอบได้นั้น บางทีเราอาจจะไม่รู้สึกสนุกหรืออยากทำก็ได้
Value Investor หนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยมักคิดถึงเรื่องการ "เกษียณก่อนกำหนด" บางคนบอกว่าอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ 40-50 ปี โดยที่พวกเขามักวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่า จะมีเงินเพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องทำงาน หรือเรียกว่ามี "อิสรภาพทางการเงิน" ได้ในวันที่เกษียณ
หลังจากนั้น เขาก็จะลงทุนเพียงอย่างเดียว โดยใช้ชีวิตและเวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบ และเป็นประโยชน์ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดและเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมไม่แน่ใจว่า คนตั้งนั้นได้กำหนดเป้าอย่างสมจริงและมีเหตุผลดีพอหรือไม่
บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่า ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในอนาคต อาจจะมากกว่าปัจจุบันที่เขายังเป็นหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบคนอื่นนอกจากตนเอง บางทีเขาอาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวต่อปีโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่เขาจะทำได้จริงๆ เช่น ตั้งไว้ถึงปีละ 15% ซึ่งเป็นสถิติระดับโลก เป็นต้น
ในฐานะของคนที่ผ่านชีวิตการ "เกษียณก่อนกำหนด" มาแล้ว ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมาย "เกษียณก่อนกำหนด" อาจจะไม่มีความจำเป็นเลย ว่าที่จริงผมเองไม่เคยตั้งเป้าเกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ผมคิดว่าชีวิตคนนั้นไม่มีวันเกษียณ วันที่เกษียณ ก็คือวันที่เราตาย
ดังนั้น ผมจึงคิดแต่ว่า เราจะทำงานไปเรื่อยๆ ถ้างานนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงงาน และเวลาที่เราเสียไป รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงานนั้นด้วย การที่คิดว่าตนเองมีเงิน "พอ" นั้น เราอาจจะลืมเผื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety ไว้
ลองนึกดูว่า ถ้าเรามีเงินที่อยู่ในหุ้น 20 ล้านบาทแล้ว เราคิดว่าเราสามารถเลิกทำงานประจำได้ เราลาออกจากงาน แต่แล้วตลาดเกิดวิกฤติราคาหุ้นของเราตกลงมาเหลือเพียง 10 ล้าน อิสรภาพทางการเงินของเราอาจจะหายไป ดังนั้น การทำงานประจำต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นการเพิ่ม Margin of Safety และทำให้เรามีเงินมากขึ้น รวยขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้น
การที่จะ "เกษียณ" เมื่อไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณากันในช่วงเวลานั้น การตั้งเป้าล่วงหน้าไปไกลๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้ามันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมาย หรือกลยุทธ์ที่บีบรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เราต้อง "เสียสละ" ความสุขมากเกินไป เพื่อที่จะไปถึง "เป้าหมาย" ที่เราคิดว่ามีความหมายมากในวันนี้ แต่อาจจะไม่มีความหมายเมื่อเราไปถึง
ผมคิดว่า "ชีวิตคือการเดินทาง" เราต้องพยายามมีความสุขกับมันตลอดเส้นทาง เป้าหมายของชีวิตที่เราพูดถึง แท้ที่จริงมันคือหลักไมล์ต่างๆ ที่เราวางแผนจะเดินผ่าน การมี "อิสรภาพทางการเงิน" นั้น เป็นหลักไมล์ที่สำคัญ เพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่เราชอบและมีความสุขได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะต้องเกษียณจากงานประจำถ้างานประจำนั้น ยังให้ผลตอบแทนต่างๆ คุ้มค่าและเรา "เลือก" ที่จะทำต่อไป
ในความเห็นของผมนั้น แผนของชีวิตที่เราควรมีและกำหนดให้ชัดเจนก็คือ แน่นอน เราควรมีเงินเท่าไรในแต่ละช่วงชีวิต เช่น เมื่ออายุ 40 ปี 50 ปี 60 ปี และในวันที่เราตายที่ 80 ปี เป็นต้น
สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนวณ ก็คือ รายได้จากการทำงานที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้น ผมคิดว่า ควรตั้งไว้ว่าเงินรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7% รายจ่ายนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของครอบครัว จะต้องคำนึงถึงเรื่องการเลี้ยงดูและให้การศึกษากับลูกๆ และการดูแลพ่อแม่ถ้ามี ในกรณีนี้ คนที่ยังเป็นโสด อาจจะคาดการณ์ได้ยากกว่า เพราะยังไม่มีสถิติ และข้อมูลในอดีต และปัจจุบันที่จะบอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร รายจ่ายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องตั้งไว้ ก็คือ รายจ่ายสำหรับรายการใหญ่ๆ เช่น การซื้อบ้านเป็นของตนเองถ้ายังไม่มี การเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ หรือต่างประเทศ เช่น บางคนอาจตั้งว่าจะเดินทางเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองปีครั้ง เป็นต้น
แผนการเงินที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การออมและการลงทุน นี่อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการที่เราจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปี ควรจะกำหนดเป็นเป้าหมายว่า เราจะออมโดยเฉลี่ยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ผมคิดว่าอย่างน้อย 10% นี่คงต้องคำนึงถึงรายจ่ายของแต่ละคน ที่มีภาระไม่เท่ากัน
คนที่มีบ้านอยู่แล้ว ส่วนใหญ่น่าจะสามารถเก็บออมได้ดีกว่าคนที่ไม่มีบ้านและต้องผ่อนส่งอยู่ จะเก็บออมกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ควรคำนึงถึงว่าเงินที่เหลืออยู่นั้น ไม่ทำให้ชีวิตของเราขัดสน จนหาความสุขไม่ได้
การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออม ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยยกเว้นว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีฝีมือสูง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าในระยะยาว หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความสะดวกในการทยอยลงทุนได้ดีกว่าหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอย่างอื่น
ดังนั้น ควรตั้งเป้าว่าเงินออมของเรา อย่างน้อยจะต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย นั่นจะเป็นเครื่องมือในการคุมให้ตนเองอยู่กับหุ้นได้ในยามที่ตลาดหุ้น "ไม่ดี" ซึ่งมักจะเป็นโอกาสดีของการลงทุนในหุ้น
จากแผนทั้งหมดที่กล่าวถึง เราอาจกำหนดหลักไมล์คร่าวๆ ได้ว่าเราจะมี "อิสรภาพทางการเงิน" เมื่อเรามีอายุเท่าไร แผนที่ดีนั้น เราควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณปีละ 3% ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้เงิน 20 ล้านบาทในวันนี้ อาจจะไม่พอในวันที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีอิสรภาพทางการเงินได้จริงๆ ก่อนอายุ 60 ปี ซึ่งทำให้เราไม่สามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ตามที่หวังไว้
อย่าเสียใจ หรือท้อถอย ชีวิตคือ "การเดินทาง" เงินคือปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่ทำให้การเดินทางง่าย สะดวก และน่ารื่นรมย์ แต่มันไม่จำเป็นต้องมากจนเหลือเฟือ คนรวยจำนวนมากกลับทุกข์มากกว่าคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนเกษียณก่อนกำหนด ก็ไม่ได้มีความสุขกันทุกคน หลายคนที่ผมรู้จักบ่นว่า เขาไม่รู้จะทำอะไรหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลก หลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
ข้อแนะนำสุดท้ายของผมสำหรับคนที่มองถึงการเกษียณก่อนกำหนด ก็คือ เราต้องมั่นใจว่ามีสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุขจริงในระยะยาว ผมเตือนเรื่องนี้ เพราะมักได้ยินคนบางคนพูดถึงเรื่องการสอนหนังสือหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
เหตุผลก็คือ การบรรยายหรือการสอนหนังสือเล็กๆ น้อยๆ นั้น ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกดีมีความสุข แต่การสอนนักเรียนที่ต้องมาฟังเราทุกสัปดาห์เพื่อให้สอบได้นั้น บางทีเราอาจจะไม่รู้สึกสนุกหรืออยากทำก็ได้
Sunday, February 15, 2009
Money Pro : แผนการเงินสำหรับคนโสด
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ wiwan.th@kasikornresearch.com
มีแฟนคอลัมน์เขียนมาขอให้แนะนำการลงทุนของคนโสดบ้าง ดิฉันจึงนำมาลงให้ตามสัญญาค่ะ
แผนการเงินของคนโสดไม่แตกต่างกับแผนการเงินของผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร เพราะสามารถตัดเรื่องการวางแผนเพื่อการศึกษาของบุตรไปได้ คงเหลือเฉพาะการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงาน เพราะต้องดูแลตัวเอง และอาจจะต้องวางแผนเพื่อเลี้ยงดูบุพการีด้วย
คนโสดในวัยสามสิบเศษ หากไม่คิดว่าจะมีครอบครัวก็สามารถวางแผนซื้อบ้านได้ ในภายหลังหากมีครอบครัวก็ไม่ต้องหาซื้ออีก แค่ถ้าหากไม่มีครอบครัวและมาเริ่มซื้อตอนอายุ 40 หรือ 45 ปี อาจจะช้าไปหน่อยค่ะ ผ่อนไม่ไหว ประมาณเอาว่าเริ่มวางแผนซื้อบ้านตั้งแต่อายุ 35 ปี ก็น่าจะดีค่ะ
นอกจากนั้น ยังต้องวางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพด้วย ทำร่างกายให้แข็งแรง และเลือกดูแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสม ในกรณีที่ที่ทำงานไม่ได้ครอบคลุมการประกันสุขภาพให้ เพราะข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของคนโสดคือ เวลาเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ จะไม่มีรายได้จากคู่สมรสมาช่วย ทุกอย่างจึงต้องอาศัยตนเองทั้งสิ้น นอกเสียจากว่าท่านจะมีญาติพี่น้องคอยดูแลอีกชั้นหนึ่ง
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนโสดค่ะ เพราะทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตของท่านก็คือตัวของท่าน และถ้าท่านไม่อยากให้ตัวท่านเองเป็นภาระของตัวเองในยามชราภาพ ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีเลิศ สุขภาพจิตก็สำคัญค่ะ เนื่องจากท่านไม่มีลูกให้ดุ ไม่มีคู่สมรสให้ต่อว่า ท่านอาจจะสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว ต้องมีการระบายความเครียด อาจจะด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการศึกษาศาสนา อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ
การวางแผนประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ควรจะทำค่ะ และสำคัญกว่าแผนประกันชีวิต โดยเฉพาะท่านที่ทำงานอิสระหรือหน่วยงานที่สังกัดไม่ได้ให้การดูแลในเรื่องสุขภาพ แต่สำหรับท่านที่ต้องเลี้ยงดูบุพการี ท่านควรจะต้องวางแผนประกันชีวิต เช่นเดียวกับผู้มีครอบครัวและต้องเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรค่ะ
ตารางด้านล่างแสดงถึงประโยชน์จากการวางแผนการเงินสำหรับช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต หากท่านเป็นคนโสด ท่านก็วางแผนแบบคู่สมรสใหม่กับแบบวัยก่อนเกษียณ คือ เมื่อยังอายุน้อยก็เน้นการวางแผนการใช้จ่าย และแผนการลงทุน พออายุเพิ่มขึ้นก็เน้นการวางแผนเกษียณเพิ่มเติม ถ้าท่านมีภาระเลี้ยงดูผู้อื่น ท่านก็ต้องวางแผนประกันภัย (ประกันชีวิต) เพิ่ม
สำหรับแผนการลงทุนนั้น เป็นแผนที่ได้ใช้ตลอดช่วงอายุค่ะ จึงมีความสำคัญ และเป็นส่วนที่ยากและท้าทายความสามารถมากที่สุด ในส่วนนี้ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้รู้ เพราะหากวางแผนลงทุนไม่ดี เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต อาจลดลงไปทำให้ไม่สามารถเกษียณอายุงานได้เร็วขึ้นตามที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความผันผวนมาก ท่านต้องวางแผนและลงมือปฏิบัติด้วยความระมัดระวังค่ะ
การวางแผนการเงินเป็นเรื่องที่ไม่ยากใช่ไหมคะ ท่านจะเห็นว่าความสำคัญของการวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิต จะเน้นประเภทของแผนที่แตกต่างกัน ตอนยังไม่มีเงินออมก็ต้องออมเงินก่อน เมื่อมีเงินพอสมควรก็ต้องลงทุน เมื่อมีทรัพย์สินมากพอสมควรก็ต้องทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองชีวิตและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน และเมื่อมีโอกาส ต้องวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงานที่สุขสบาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ในทุกช่วงอายุต้องดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ
กล่าวกันอยู่เสมอว่า แผนการเงินของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน นอกจากจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของชีวิตแล้ว ยังแตกต่างกันเพราะรสนิยม ความชอบ ค่านิยมในการใช้ชีวิต ความประทับใจ และความเชื่อส่วนบุคคล ความผูกพันและผลกระทบต่อจิตใจ วัฒนธรรมของแต่ละสังคม ฯลฯ ดังนั้นเวลาวางแผนการเงิน ผู้รับการวางแผนควรจะต้องบอกให้ผู้วางแผนทราบ เพื่อที่ผู้วางแผนจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบด้วย
ในการวางแผนการเงิน เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด การบรรลุเป้าหมายในชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เนื่องจากสังคมเราเป็นสังคมที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เราจึงต้องวางแผนโดยใช้เงินและตัวเลขเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผน ในบางกรณีท่านอาจจะสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น บางท่านอาจจะมีเป้าหมายชีวิตที่จะแสวงหาธรรมะ ท่านก็อาจจะบวชเป็นพระหรือชี หรือนักบวชในศาสนาของท่าน หรือในบางกรณีท่านก็สามารถวางแผนการปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารของท่านได้เอง ท่านก็สามารถลดจำนวนเงินที่ต้องการใช้ในการดำรงชีพได้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น หากท่านคำนวณเงินออมเพื่อการเกษียณแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถเก็บให้ครบได้ ท่านอาจจะเริ่มมองหาที่ว่างข้างบ้านเพื่อเพาะปลูกผักและพืชสวนครัว หรือเริ่มปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน แทนที่จะออกไปรับประทานนอกบ้านทุกวัน
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนสามารถวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน ได้อย่างดี หรือได้ทำตามความฝันของท่านอย่างราบรื่น และขอให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามควรแก่อัตภาพค่ะ
มีแฟนคอลัมน์เขียนมาขอให้แนะนำการลงทุนของคนโสดบ้าง ดิฉันจึงนำมาลงให้ตามสัญญาค่ะ
แผนการเงินของคนโสดไม่แตกต่างกับแผนการเงินของผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร เพราะสามารถตัดเรื่องการวางแผนเพื่อการศึกษาของบุตรไปได้ คงเหลือเฉพาะการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงาน เพราะต้องดูแลตัวเอง และอาจจะต้องวางแผนเพื่อเลี้ยงดูบุพการีด้วย
คนโสดในวัยสามสิบเศษ หากไม่คิดว่าจะมีครอบครัวก็สามารถวางแผนซื้อบ้านได้ ในภายหลังหากมีครอบครัวก็ไม่ต้องหาซื้ออีก แค่ถ้าหากไม่มีครอบครัวและมาเริ่มซื้อตอนอายุ 40 หรือ 45 ปี อาจจะช้าไปหน่อยค่ะ ผ่อนไม่ไหว ประมาณเอาว่าเริ่มวางแผนซื้อบ้านตั้งแต่อายุ 35 ปี ก็น่าจะดีค่ะ
นอกจากนั้น ยังต้องวางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพด้วย ทำร่างกายให้แข็งแรง และเลือกดูแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสม ในกรณีที่ที่ทำงานไม่ได้ครอบคลุมการประกันสุขภาพให้ เพราะข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของคนโสดคือ เวลาเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ จะไม่มีรายได้จากคู่สมรสมาช่วย ทุกอย่างจึงต้องอาศัยตนเองทั้งสิ้น นอกเสียจากว่าท่านจะมีญาติพี่น้องคอยดูแลอีกชั้นหนึ่ง
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนโสดค่ะ เพราะทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตของท่านก็คือตัวของท่าน และถ้าท่านไม่อยากให้ตัวท่านเองเป็นภาระของตัวเองในยามชราภาพ ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีเลิศ สุขภาพจิตก็สำคัญค่ะ เนื่องจากท่านไม่มีลูกให้ดุ ไม่มีคู่สมรสให้ต่อว่า ท่านอาจจะสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว ต้องมีการระบายความเครียด อาจจะด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการศึกษาศาสนา อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ
การวางแผนประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ควรจะทำค่ะ และสำคัญกว่าแผนประกันชีวิต โดยเฉพาะท่านที่ทำงานอิสระหรือหน่วยงานที่สังกัดไม่ได้ให้การดูแลในเรื่องสุขภาพ แต่สำหรับท่านที่ต้องเลี้ยงดูบุพการี ท่านควรจะต้องวางแผนประกันชีวิต เช่นเดียวกับผู้มีครอบครัวและต้องเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรค่ะ
ตารางด้านล่างแสดงถึงประโยชน์จากการวางแผนการเงินสำหรับช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต หากท่านเป็นคนโสด ท่านก็วางแผนแบบคู่สมรสใหม่กับแบบวัยก่อนเกษียณ คือ เมื่อยังอายุน้อยก็เน้นการวางแผนการใช้จ่าย และแผนการลงทุน พออายุเพิ่มขึ้นก็เน้นการวางแผนเกษียณเพิ่มเติม ถ้าท่านมีภาระเลี้ยงดูผู้อื่น ท่านก็ต้องวางแผนประกันภัย (ประกันชีวิต) เพิ่ม
สำหรับแผนการลงทุนนั้น เป็นแผนที่ได้ใช้ตลอดช่วงอายุค่ะ จึงมีความสำคัญ และเป็นส่วนที่ยากและท้าทายความสามารถมากที่สุด ในส่วนนี้ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้รู้ เพราะหากวางแผนลงทุนไม่ดี เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต อาจลดลงไปทำให้ไม่สามารถเกษียณอายุงานได้เร็วขึ้นตามที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความผันผวนมาก ท่านต้องวางแผนและลงมือปฏิบัติด้วยความระมัดระวังค่ะ
การวางแผนการเงินเป็นเรื่องที่ไม่ยากใช่ไหมคะ ท่านจะเห็นว่าความสำคัญของการวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิต จะเน้นประเภทของแผนที่แตกต่างกัน ตอนยังไม่มีเงินออมก็ต้องออมเงินก่อน เมื่อมีเงินพอสมควรก็ต้องลงทุน เมื่อมีทรัพย์สินมากพอสมควรก็ต้องทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองชีวิตและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน และเมื่อมีโอกาส ต้องวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงานที่สุขสบาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ในทุกช่วงอายุต้องดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ
กล่าวกันอยู่เสมอว่า แผนการเงินของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน นอกจากจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของชีวิตแล้ว ยังแตกต่างกันเพราะรสนิยม ความชอบ ค่านิยมในการใช้ชีวิต ความประทับใจ และความเชื่อส่วนบุคคล ความผูกพันและผลกระทบต่อจิตใจ วัฒนธรรมของแต่ละสังคม ฯลฯ ดังนั้นเวลาวางแผนการเงิน ผู้รับการวางแผนควรจะต้องบอกให้ผู้วางแผนทราบ เพื่อที่ผู้วางแผนจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบด้วย
ในการวางแผนการเงิน เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด การบรรลุเป้าหมายในชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เนื่องจากสังคมเราเป็นสังคมที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เราจึงต้องวางแผนโดยใช้เงินและตัวเลขเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผน ในบางกรณีท่านอาจจะสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น บางท่านอาจจะมีเป้าหมายชีวิตที่จะแสวงหาธรรมะ ท่านก็อาจจะบวชเป็นพระหรือชี หรือนักบวชในศาสนาของท่าน หรือในบางกรณีท่านก็สามารถวางแผนการปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารของท่านได้เอง ท่านก็สามารถลดจำนวนเงินที่ต้องการใช้ในการดำรงชีพได้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น หากท่านคำนวณเงินออมเพื่อการเกษียณแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถเก็บให้ครบได้ ท่านอาจจะเริ่มมองหาที่ว่างข้างบ้านเพื่อเพาะปลูกผักและพืชสวนครัว หรือเริ่มปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน แทนที่จะออกไปรับประทานนอกบ้านทุกวัน
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนสามารถวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน ได้อย่างดี หรือได้ทำตามความฝันของท่านอย่างราบรื่น และขอให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามควรแก่อัตภาพค่ะ
Monday, February 9, 2009
'วอร์เรน บัฟเฟตต์' สบายดีอยู่หรือ!
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ลองมาดูว่าเขามีความเห็นอย่า
ถาม: วิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้นทำให้คุณเปลี่ยนวิธีการลงทุนหรือไม่บัฟเฟตต์: มันไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเรียนรู้การลงทุนจากหนังสือของเบน เกรแฮมตั้งแต่ปี 1949 และไม่เคยเปลี่ยนแนวทางเลยนับจากนั้นมา
ถาม: วิกฤติที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย มีผลกระทบต่อปรัชญาการลงทุนของคุณหรือไม่บัฟเฟตต์: ไม่เลย เหมือนผมต้องการซื้อฟาร์ม ผมคงไม่เปลี่ยนแนวทางในการซื้อฟาร์มของผม เช่นเดียวกับการซื้อบ้านหรือซื้อธุรกิจ หุ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าผมต้องการซื้อหุ้นในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งในเมืองนี้ ผมคงใช้แนวทางที่เคยใช้เมื่อสองปีที่แล้วและก็เป็นแนวทางที่จะใช้ในอีกสองปีข้างหน้า ผมจะดูว่าผมจะได้อะไรจากเงินที่ลงทุนไป ผู้บริหารเป็นอย่างไร บริษัทนั้นมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่และฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้าพูดถึง "ตลาดหุ้น" ขอให้คุณลืมมันไปได้เลย สำหรับหุ้นทุกตัวที่ผมมีผมว่าผมคงถือต่อไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ตลาดหุ้นจะปิดไปสักห้าปีนับจากวันนี้ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผมซื้อธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อหุ้น ผมซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจเหมือนผมซื้อฟาร์ม และมันไม่เคยเปลี่ยน พวกข่าวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถซื้อของได้ถูกกว่าวันนี้ มันอาจถูกลง คำถาม ก็คือตอนซื้อนั้นมันคุ้มค่าเงินที่ลงทุนแล้วหรือยัง
ถาม: วิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้นทำให้คุณเปลี่ยนวิธีการลงทุนหรือไม่บัฟเฟตต์: มันไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเรียนรู้การลงทุนจากหนังสือของเบน เกรแฮมตั้งแต่ปี 1949 และไม่เคยเปลี่ยนแนวทางเลยนับจากนั้นมา
ถาม: วิกฤติที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย มีผลกระทบต่อปรัชญาการลงทุนของคุณหรือไม่บัฟเฟตต์: ไม่เลย เหมือนผมต้องการซื้อฟาร์ม ผมคงไม่เปลี่ยนแนวทางในการซื้อฟาร์มของผม เช่นเดียวกับการซื้อบ้านหรือซื้อธุรกิจ หุ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าผมต้องการซื้อหุ้นในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งในเมืองนี้ ผมคงใช้แนวทางที่เคยใช้เมื่อสองปีที่แล้วและก็เป็นแนวทางที่จะใช้ในอีกสองปีข้างหน้า ผมจะดูว่าผมจะได้อะไรจากเงินที่ลงทุนไป ผู้บริหารเป็นอย่างไร บริษัทนั้นมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่และฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้าพูดถึง "ตลาดหุ้น" ขอให้คุณลืมมันไปได้เลย สำหรับหุ้นทุกตัวที่ผมมีผมว่าผมคงถือต่อไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ตลาดหุ้นจะปิดไปสักห้าปีนับจากวันนี้ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผมซื้อธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อหุ้น ผมซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจเหมือนผมซื้อฟาร์ม และมันไม่เคยเปลี่ยน พวกข่าวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถซื้อของได้ถูกกว่าวันนี้ มันอาจถูกลง คำถาม ก็คือตอนซื้อนั้นมันคุ้มค่าเงินที่ลงทุนแล้วหรือยัง
ถาม: อะไรเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนของคุณบัฟเฟตต์: บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ ไม่ใช่สิ่งที่มีคนแนะนำให้ซื้อ หรือพูดกันถึงเรื่องกำไรที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสหน้า แต่เป็นการมองให้เห็นถึงธุรกิจ ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะประเมินธุรกิจนั้นๆ อย่างไร คุณก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นบริษัทนั้น แต่ถ้าคุณรู้ว่าจะประเมินธุรกิจนั้นอย่างไรและซื้อมันได้ในราคาถูก คุณก็ไม่ต้องไปกังวลกับมันว่าจะเป็นอย่างไรในอาทิตย์หน้า เดือนหน้าหรือปีหน้า
ถาม: คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นถูกต้องบัฟเฟตต์: ผมว่าไม่มีปัญหาถ้าพูดถึงอนาคตข้างหน้าของเศรษฐกิจในระยะยาว ในระยะสั้นผมคงมองว่ายังไม่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ตลาดหุ้น ตอนนี้ผมเริ่มซื้อหุ้นแล้ว ถ้าคุณบอกผมว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ถ้าผมพบสิ่งที่น่าสนใจวันนี้ผมก็จะซื้อมันทันที ผมคงไม่รอและคาดหวังว่าจะซื้อมันได้ถูกลงในอีกหกเดือนข้างหน้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงต่ำสุดหรือยัง..ไม่มีใครรู้ สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือคุณได้อะไรคุ้มค่าต่อเงินลงทุนของคุณหรือเปล่า
ถาม: คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นถูกต้องบัฟเฟตต์: ผมว่าไม่มีปัญหาถ้าพูดถึงอนาคตข้างหน้าของเศรษฐกิจในระยะยาว ในระยะสั้นผมคงมองว่ายังไม่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ตลาดหุ้น ตอนนี้ผมเริ่มซื้อหุ้นแล้ว ถ้าคุณบอกผมว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ถ้าผมพบสิ่งที่น่าสนใจวันนี้ผมก็จะซื้อมันทันที ผมคงไม่รอและคาดหวังว่าจะซื้อมันได้ถูกลงในอีกหกเดือนข้างหน้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงต่ำสุดหรือยัง..ไม่มีใครรู้ สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือคุณได้อะไรคุ้มค่าต่อเงินลงทุนของคุณหรือเปล่า
วิธีการเปรียบเทียบราคามาตรฐาน NGV กับราคาตลาดโลก
เอ็นจีวี:อยู่ดีไม่ว่าดี(3) วีระ ธีรภัทร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ผมอยากเรียนตามตรงว่า ค่อนข้างเห็นใจผู้เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการกับการตัดสินใจปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติอัด (ซีเอ็นจี) ที่เราเรียกขานกันติดปากว่าเอ็นจีวีครั้งนี้
ราคาเอ็นจีวีกิโลกรัมละ 8.50 บาท ที่กำลังจะปรับขึ้นเป็น 11 บาทนั้น ผมเข้าใจว่านอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้บริโภคเป็นคนจ่าย และรวมอยู่ในราคาขายปลีกไปเรียบร้อยแล้วนั้น
ไม่มีสิ่งที่แปลกปลอมที่เรียกว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ภาษีเทศบาล เงินสมทบกองทุนน้ำมัน เงินสมทบกองทุนอนุรักษ์พลังงาน แฝงเร้นเป็นค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคเหมือนน้ำมันเบนซินและดีเซล
ราคาเอ็นจีวีที่ขายในปัจจุบันจึงเป็นแค่ผลรวมของ ค่าเนื้อก๊าซธรรมชาติ+ต้นทุนค่าสถานีบริการ+ค่าการตลาด+ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นสำคัญ
ประเด็นปัญหาของการกำหนดราคาขายเอ็นจีวีที่แตกต่างจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาก๊าซหุงต้มยังอยู่ตรงที่ว่า ไม่มีราคาอ้างอิง ให้ใช้ในการคำนวณราคาที่ต้องปรับขึ้นลงครับ
อันนี้เป็นเหตุแห่งปัญหาที่ภาครัฐจะต้องคิดอ่านแก้ไข ถ้าอยากให้เรื่องการกำหนดราคาเอ็นจีวีเรียบร้อยในอนาคต
ในปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน-ดีเซล เราใช้ราคาตลาดโลกที่สิงคโปร์เป็นตัวอ้างอิง ในขณะที่ราคาก๊าซหุงต้มเราใช้ราคาของปิโตรมีนที่ซาอุดีอาระเบียเป็นตัวอ้างอิง ก่อนจะบวกรายการภาษีต่างๆ เงินสมทบกองทุนน้ำมันและค่าการตลาด
แต่ขอโทษเอ็นจีวีไม่มีราคาอ้างอิงที่เป็นทางการครับ
เราใช้มติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นแนวทางครับ กำหนดให้ราคาขายประกอบด้วย ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ+ค่าการตลาด ผลจึงออกมาว่าให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดราคาขายปลีกในช่วงปี 2550-2551 กิโลกรัมละ 8.50 บาท และให้ปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเป็น ไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2552 และเป็น ไม่เกิน 13 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2553
ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไปให้ขายตามต้นทุนจริง???
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติครั้งที่ 7/2550 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ก็ต้องบอกว่าการดำเนินการของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการขอปรับราคาเอ็นจีวีที่กำลังดำเนินอยู่นี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ
ข้อมูลที่ควรทราบต่อไป ก็คือ ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำข้อมูลภายในและมีการระบุว่าต้นทุนเนื้อก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันตามโครงสร้างการกำหนดราคาคร่าวๆ ที่ผมแจงไปก่อนหน้านี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 8.15 บาท
ถ้าหากเป็นจริงตามนั้นการจำหน่ายเอ็นจีวีที่หน้าสถานีบริการในราคากิโลกรัมละ 8.50 บาท ต้องขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อบวกค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการ โดยไม่ยังรวมเงินลงทุนสถานีบริการเข้าไปและหักส่วนที่เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้รัฐออกไป
ขายราคานี้ยังไงๆ ปตท.ก็ต้องขาดทุนแน่นอน ไม่ว่าจะขายน้อยหรือขายมาก
แต่ด้วยเหตุที่ผมบอกว่าราคาก๊าซธรรมชาติที่ยกขึ้นมาลอยๆ ว่า เป็นต้นทุนเนื้อก๊าซกิโลกรัมละ 8.15 นั้นไม่มีที่มาที่ไปหรือราคาอ้างอิงให้เทียบเคียง
ผมก็เลยไปลองค้นหาข้อมูลราคาก๊าซธรรมชาติจากที่อื่นๆ พอได้ความว่า ราคาเอ็นจี (NG-Natural Gas) ในตลาดไนเม็กซ์ที่นิวยอร์ก หรือรู้จักกันในชื่อว่าเฮนรี่ฮับ (Henry-Hub) ซึ่งใช้อ้างอิงกันแพร่หลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันนั้น มีราคาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 7.25-13.50 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียูในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ และลดลงมาถึงจุดต่ำสุดประมาณ 5.50 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียู ในขณะที่ราคาล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 5.70 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียู
ถ้าหากแปลงค่ากันง่ายๆ ว่า ค่าความร้อน 1 ล้านบีทียูคิดเป็นน้ำหนักเนื้อก๊าซได้ประมาณ 30 กิโลกรัม นั่นก็หมายความว่า ราคาเอ็นจีวีในตลาดโลกซึ่งพอจะใช้อ้างอิงได้ น่าจะตกประมาณตันละ 190 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,750 บาท หรือเท่ากับกิโลกรัมละ 6.75 บาทครับ
พอเห็นอะไรรางๆ มั้ยครับ
ทั้งหมดที่ผมพยายามไล่เรียงมาตามลำดับนั้น บอกอะไรครับ บอกให้รู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงกว่าตลาดโลก คำอธิบายว่าทำไมจากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก
ต้นทุนแพงก็ขายแพงได้ ไม่ว่ากัน แต่ต้นทุนถูกขายแพงไป แบบนี้ไม่ถูกต้อง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ผมอยากเรียนตามตรงว่า ค่อนข้างเห็นใจผู้เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการกับการตัดสินใจปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติอัด (ซีเอ็นจี) ที่เราเรียกขานกันติดปากว่าเอ็นจีวีครั้งนี้
ราคาเอ็นจีวีกิโลกรัมละ 8.50 บาท ที่กำลังจะปรับขึ้นเป็น 11 บาทนั้น ผมเข้าใจว่านอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้บริโภคเป็นคนจ่าย และรวมอยู่ในราคาขายปลีกไปเรียบร้อยแล้วนั้น
ไม่มีสิ่งที่แปลกปลอมที่เรียกว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ภาษีเทศบาล เงินสมทบกองทุนน้ำมัน เงินสมทบกองทุนอนุรักษ์พลังงาน แฝงเร้นเป็นค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคเหมือนน้ำมันเบนซินและดีเซล
ราคาเอ็นจีวีที่ขายในปัจจุบันจึงเป็นแค่ผลรวมของ ค่าเนื้อก๊าซธรรมชาติ+ต้นทุนค่าสถานีบริการ+ค่าการตลาด+ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นสำคัญ
ประเด็นปัญหาของการกำหนดราคาขายเอ็นจีวีที่แตกต่างจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาก๊าซหุงต้มยังอยู่ตรงที่ว่า ไม่มีราคาอ้างอิง ให้ใช้ในการคำนวณราคาที่ต้องปรับขึ้นลงครับ
อันนี้เป็นเหตุแห่งปัญหาที่ภาครัฐจะต้องคิดอ่านแก้ไข ถ้าอยากให้เรื่องการกำหนดราคาเอ็นจีวีเรียบร้อยในอนาคต
ในปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน-ดีเซล เราใช้ราคาตลาดโลกที่สิงคโปร์เป็นตัวอ้างอิง ในขณะที่ราคาก๊าซหุงต้มเราใช้ราคาของปิโตรมีนที่ซาอุดีอาระเบียเป็นตัวอ้างอิง ก่อนจะบวกรายการภาษีต่างๆ เงินสมทบกองทุนน้ำมันและค่าการตลาด
แต่ขอโทษเอ็นจีวีไม่มีราคาอ้างอิงที่เป็นทางการครับ
เราใช้มติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นแนวทางครับ กำหนดให้ราคาขายประกอบด้วย ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ+ค่าการตลาด ผลจึงออกมาว่าให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดราคาขายปลีกในช่วงปี 2550-2551 กิโลกรัมละ 8.50 บาท และให้ปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเป็น ไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2552 และเป็น ไม่เกิน 13 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2553
ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไปให้ขายตามต้นทุนจริง???
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติครั้งที่ 7/2550 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ก็ต้องบอกว่าการดำเนินการของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการขอปรับราคาเอ็นจีวีที่กำลังดำเนินอยู่นี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ
ข้อมูลที่ควรทราบต่อไป ก็คือ ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำข้อมูลภายในและมีการระบุว่าต้นทุนเนื้อก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันตามโครงสร้างการกำหนดราคาคร่าวๆ ที่ผมแจงไปก่อนหน้านี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 8.15 บาท
ถ้าหากเป็นจริงตามนั้นการจำหน่ายเอ็นจีวีที่หน้าสถานีบริการในราคากิโลกรัมละ 8.50 บาท ต้องขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อบวกค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการ โดยไม่ยังรวมเงินลงทุนสถานีบริการเข้าไปและหักส่วนที่เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้รัฐออกไป
ขายราคานี้ยังไงๆ ปตท.ก็ต้องขาดทุนแน่นอน ไม่ว่าจะขายน้อยหรือขายมาก
แต่ด้วยเหตุที่ผมบอกว่าราคาก๊าซธรรมชาติที่ยกขึ้นมาลอยๆ ว่า เป็นต้นทุนเนื้อก๊าซกิโลกรัมละ 8.15 นั้นไม่มีที่มาที่ไปหรือราคาอ้างอิงให้เทียบเคียง
ผมก็เลยไปลองค้นหาข้อมูลราคาก๊าซธรรมชาติจากที่อื่นๆ พอได้ความว่า ราคาเอ็นจี (NG-Natural Gas) ในตลาดไนเม็กซ์ที่นิวยอร์ก หรือรู้จักกันในชื่อว่าเฮนรี่ฮับ (Henry-Hub) ซึ่งใช้อ้างอิงกันแพร่หลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันนั้น มีราคาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 7.25-13.50 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียูในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ และลดลงมาถึงจุดต่ำสุดประมาณ 5.50 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียู ในขณะที่ราคาล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 5.70 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านบีทียู
ถ้าหากแปลงค่ากันง่ายๆ ว่า ค่าความร้อน 1 ล้านบีทียูคิดเป็นน้ำหนักเนื้อก๊าซได้ประมาณ 30 กิโลกรัม นั่นก็หมายความว่า ราคาเอ็นจีวีในตลาดโลกซึ่งพอจะใช้อ้างอิงได้ น่าจะตกประมาณตันละ 190 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,750 บาท หรือเท่ากับกิโลกรัมละ 6.75 บาทครับ
พอเห็นอะไรรางๆ มั้ยครับ
ทั้งหมดที่ผมพยายามไล่เรียงมาตามลำดับนั้น บอกอะไรครับ บอกให้รู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงกว่าตลาดโลก คำอธิบายว่าทำไมจากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก
ต้นทุนแพงก็ขายแพงได้ ไม่ว่ากัน แต่ต้นทุนถูกขายแพงไป แบบนี้ไม่ถูกต้อง
Financial Edge : Leverage Buy-out ทางรอดหรือทางเลือก
พรเทพ ตังคเศรณีในช่วงวิกฤติทางการเงิน กองทุน Private Equity ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไป ว่า เป็นกองทุนที่เข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ที่มีความน่าสนใจ และคาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติทางการเงิน จากรูปแบบการลงทุน ที่เรียกว่า Leverage Buy-out (LBO) หรือการเข้าไปลงทุนในบริษัทหนึ่งๆ โดยอาศัยแหล่งเงินกู้ (แต่อาจมีเงินทุนอีกส่วนเข้าไปสมทบ) แต่ตามมาด้วยความเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผลก็คือ หลายบริษัทที่ Private Equity เข้าไปลงทุน มีโครงสร้างทางการเงินที่หนักไปทางหนี้สินมากขึ้นเรื่อยๆ และมีหลายบริษัทที่ต้องล้มละลายไป เพราะไม่สามารถบริหารเงินสด เพื่อนำมาคืนหนี้สินได้
สำหรับวิกฤติซับไพร์มในครั้งนี้ แม้ Private Equity ประเภท LBO หลายบริษัทจะประสบผลพวงจากวิกฤติซับไพร์ม เนื่องจากการไปลงทุนในตราสารพวก CDO โดยตรง หรือไปลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับซับไพร์ม แต่ก็มี Private Equity อีกหลายแห่ง ที่ยังมีเงินสดเหลือเฟือสำหรับการนำมาให้ธนาคาร และสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง ได้นำเงินไปใช้แก้ปัญหาสภาพคล่องของตน
นอกเหนือจาก Sovereign-wealth funds หรือกองทุนความมั่งคั่ง ที่นำเงินจากเงินสำรอง หรือเงินทุนของประเทศที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ มาลงทุนในสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแล้ว Private Equity ก็เป็นอีกแหล่งเงินทุนหนึ่ง ที่มีเงินสดรวมกันไม่น้อยกว่า 450,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่ามากเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา
ประวัติศาสตร์ของ LBO นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1955 โดย แมคคลีน อินดัสตรีส์ ได้กู้เงินจำนวน 42 ล้านดอลลาร์ และใช้เงินทุนอีกจำนวน 7 ล้านดอลลาร์ ผ่านการออกหุ้นบุริมสิทธิ เพื่อใช้ซื้อหุ้นของบริษัท แพน-แอตแลนติก สตรีมชิพ ในช่วงปี 2523 หลังจาก LBO เริ่มมีความนิยมมากขึ้น ผลกระทบในด้านลบของ LBO ก็เริ่มส่งผล โดยบริษัทที่ทำ LBO เริ่มประกาศล้มละลาย แม้แต่ดีล อาร์เจอาร์ นาบิสโก ซึ่งเป็นดีล LBO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่ากว่า 31,100 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2523 ก็ต้องมีการหาแหล่งเงินทุนใหม่อีกครั้งในปี 2533 จากโคห์ลเบิร์ก คราวิส โรเบิร์ตส์ หรือเคเคอาร์ อีก 1,700 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ในปี 2549-2550 กองทุน Private Equity ทั่วโลกมีการลงทุนผ่านรูปแบบของ LBO มูลค่ามากถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของการลงทุนแบบ LBO ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างสูงสุดของ LBO ในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของกองทุน Private Equity ประเภท LBO กลับมีการซื้อขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) เนื่องจาก แม้ LBO จะมีความน่าสนใจ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับไม่สามารถคำนวณได้อย่างชัดเจนว่าคุ้มค่าหรือไม่เพียงใด จากการประมาณการโดยบริษัทวิจัยต่างๆ มองว่าผลตอบแทนของ Private Equity ที่ลงทุนในรูปแบบ LBO มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั่วไป แต่มีความเสี่ยงมากกว่าในแง่ที่หาก Private Equity เข้าไปลงทุนในบริษัทที่แย่มากๆ ผลตอบแทนก็จะถูกฉุดให้ตกต่ำมากตาม
ในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง หรือมีความไม่แน่นอนมากๆ อย่างในช่วงปีนี้ เป็นการยากที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ ในขณะที่ความย่ำแย่ของระบบการจัดอันดับเครดิต ก็ทำให้การปล่อยกู้ของสถาบันการเงินทำได้ยากมากขึ้น LBO จึงเป็นทางเลือกสำคัญในการแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กับธนาคาร และสถาบันการเงินที่กำลังประสบปัญหา และด้วยความต้องการที่มีอยู่มาก จึงเป็นโอกาสทองของ Private Equity ที่ยังมีเงินสดเหลืออยู่ สามารถเลือกลงทุนหรือเลือกปล่อยเงินทุนให้กับบริษัทที่มีความต้องการเงินสด ทำให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนจาก LBO ปรับเพิ่มสูงขึ้น
โดยในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีนี้ Private Equity ขนาดใหญ่หลายแห่ง มีสัดส่วนของทรัพย์สินที่เป็นการลงทุนผ่าน LBO เพิ่มสูงขึ้น โดยอพอลโล แมเนจเมนต์ และเท็กซัส แปซิฟิก กรุ๊ป มีสัดส่วน LBO มากถึง 25% ส่วนเคเคอาร์ และแบล็กสโตน มีสัดส่วนรองลงมาที่ 22% และ 19% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า Private Equity เหล่านี้ จะเพิ่มมูลค่ากองทุนสำหรับ LBO อีกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ และมีการเริ่มสรรหาทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านหนี้ และตราสารหนี้เข้าร่วมงานอีก
นอกจากการเข้าไปลงทุนเอง Private Equity ยังมีการเข้าไปซื้อ LBO จากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาบริหารเองต่อ โดยซื้อที่ส่วนลดประมาณ 20-30% ของมูลค่าที่ตราไว้ หรือ Face Value ตัวอย่างดีลในช่วงนี้ อาทิเช่น การขาย LBO ของซิตี้กรุ๊ป มูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ ทีจีพี แคปิตอล พาร์ตเนอร์ส แบล็กสโตน และอพอลโล และยังมีการประมาณการว่า ธนาคารขนาดใหญ่จะมีการขาย LBO อีกมูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาทในปีนี้
ความต้องการที่จะลดหนี้ในส่วนนี้ของธนาคารและสถาบันการเงิน ทำให้ Private Equity มีโอกาสได้รับผลตอบแทนถึงระดับ 20-30% จาก LBO แต่ความน่ากลัว ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาก็คือ หากสภาวะวิกฤติทางการเงินยังคงดำเนินต่อไป มูลค่าหนี้สินของ LBO ก็อาจลดลงอีก ทำให้ Private Equity ประสบการขาดทุน จนต้องเพิ่มทุนเพื่อนำมาแก้ปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งสามารถทำได้ยากมากเช่นกัน และสำหรับมุมมองของนักลงทุนใน Private Equity การมีปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นของกองทุนก็เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนกังวล เพราะการมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ก็หมายถึง ความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าว อาจทำให้ส่งผลต่อการบริหารงานของ Private Equity เองในอนาคต
ท้ายที่สุด ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบ LBO ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขัน และการฟื้นฟูกิจการของบริษัทที่ Private Equity เข้าไปลงทุน เพราะหากบริษัทที่เข้าไปลงทุน ไม่สามารถคืนเงินได้ ผลกระทบก็จะกลับมาตกที่เจ้าหนี้ หรือ Private Equity ดังนั้น ความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารกองทุนที่ถูกส่งเข้าไปบริหารงาน จึงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุน ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจ ก็เป็นปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่า จะไปในทิศทางใด
สำหรับวิกฤติซับไพร์มในครั้งนี้ แม้ Private Equity ประเภท LBO หลายบริษัทจะประสบผลพวงจากวิกฤติซับไพร์ม เนื่องจากการไปลงทุนในตราสารพวก CDO โดยตรง หรือไปลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับซับไพร์ม แต่ก็มี Private Equity อีกหลายแห่ง ที่ยังมีเงินสดเหลือเฟือสำหรับการนำมาให้ธนาคาร และสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง ได้นำเงินไปใช้แก้ปัญหาสภาพคล่องของตน
นอกเหนือจาก Sovereign-wealth funds หรือกองทุนความมั่งคั่ง ที่นำเงินจากเงินสำรอง หรือเงินทุนของประเทศที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ มาลงทุนในสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแล้ว Private Equity ก็เป็นอีกแหล่งเงินทุนหนึ่ง ที่มีเงินสดรวมกันไม่น้อยกว่า 450,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่ามากเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา
ประวัติศาสตร์ของ LBO นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1955 โดย แมคคลีน อินดัสตรีส์ ได้กู้เงินจำนวน 42 ล้านดอลลาร์ และใช้เงินทุนอีกจำนวน 7 ล้านดอลลาร์ ผ่านการออกหุ้นบุริมสิทธิ เพื่อใช้ซื้อหุ้นของบริษัท แพน-แอตแลนติก สตรีมชิพ ในช่วงปี 2523 หลังจาก LBO เริ่มมีความนิยมมากขึ้น ผลกระทบในด้านลบของ LBO ก็เริ่มส่งผล โดยบริษัทที่ทำ LBO เริ่มประกาศล้มละลาย แม้แต่ดีล อาร์เจอาร์ นาบิสโก ซึ่งเป็นดีล LBO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่ากว่า 31,100 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2523 ก็ต้องมีการหาแหล่งเงินทุนใหม่อีกครั้งในปี 2533 จากโคห์ลเบิร์ก คราวิส โรเบิร์ตส์ หรือเคเคอาร์ อีก 1,700 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ในปี 2549-2550 กองทุน Private Equity ทั่วโลกมีการลงทุนผ่านรูปแบบของ LBO มูลค่ามากถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของการลงทุนแบบ LBO ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างสูงสุดของ LBO ในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของกองทุน Private Equity ประเภท LBO กลับมีการซื้อขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) เนื่องจาก แม้ LBO จะมีความน่าสนใจ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับไม่สามารถคำนวณได้อย่างชัดเจนว่าคุ้มค่าหรือไม่เพียงใด จากการประมาณการโดยบริษัทวิจัยต่างๆ มองว่าผลตอบแทนของ Private Equity ที่ลงทุนในรูปแบบ LBO มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั่วไป แต่มีความเสี่ยงมากกว่าในแง่ที่หาก Private Equity เข้าไปลงทุนในบริษัทที่แย่มากๆ ผลตอบแทนก็จะถูกฉุดให้ตกต่ำมากตาม
ในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง หรือมีความไม่แน่นอนมากๆ อย่างในช่วงปีนี้ เป็นการยากที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ ในขณะที่ความย่ำแย่ของระบบการจัดอันดับเครดิต ก็ทำให้การปล่อยกู้ของสถาบันการเงินทำได้ยากมากขึ้น LBO จึงเป็นทางเลือกสำคัญในการแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กับธนาคาร และสถาบันการเงินที่กำลังประสบปัญหา และด้วยความต้องการที่มีอยู่มาก จึงเป็นโอกาสทองของ Private Equity ที่ยังมีเงินสดเหลืออยู่ สามารถเลือกลงทุนหรือเลือกปล่อยเงินทุนให้กับบริษัทที่มีความต้องการเงินสด ทำให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนจาก LBO ปรับเพิ่มสูงขึ้น
โดยในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีนี้ Private Equity ขนาดใหญ่หลายแห่ง มีสัดส่วนของทรัพย์สินที่เป็นการลงทุนผ่าน LBO เพิ่มสูงขึ้น โดยอพอลโล แมเนจเมนต์ และเท็กซัส แปซิฟิก กรุ๊ป มีสัดส่วน LBO มากถึง 25% ส่วนเคเคอาร์ และแบล็กสโตน มีสัดส่วนรองลงมาที่ 22% และ 19% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า Private Equity เหล่านี้ จะเพิ่มมูลค่ากองทุนสำหรับ LBO อีกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ และมีการเริ่มสรรหาทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านหนี้ และตราสารหนี้เข้าร่วมงานอีก
นอกจากการเข้าไปลงทุนเอง Private Equity ยังมีการเข้าไปซื้อ LBO จากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาบริหารเองต่อ โดยซื้อที่ส่วนลดประมาณ 20-30% ของมูลค่าที่ตราไว้ หรือ Face Value ตัวอย่างดีลในช่วงนี้ อาทิเช่น การขาย LBO ของซิตี้กรุ๊ป มูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ ทีจีพี แคปิตอล พาร์ตเนอร์ส แบล็กสโตน และอพอลโล และยังมีการประมาณการว่า ธนาคารขนาดใหญ่จะมีการขาย LBO อีกมูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาทในปีนี้
ความต้องการที่จะลดหนี้ในส่วนนี้ของธนาคารและสถาบันการเงิน ทำให้ Private Equity มีโอกาสได้รับผลตอบแทนถึงระดับ 20-30% จาก LBO แต่ความน่ากลัว ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาก็คือ หากสภาวะวิกฤติทางการเงินยังคงดำเนินต่อไป มูลค่าหนี้สินของ LBO ก็อาจลดลงอีก ทำให้ Private Equity ประสบการขาดทุน จนต้องเพิ่มทุนเพื่อนำมาแก้ปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งสามารถทำได้ยากมากเช่นกัน และสำหรับมุมมองของนักลงทุนใน Private Equity การมีปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นของกองทุนก็เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนกังวล เพราะการมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ก็หมายถึง ความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าว อาจทำให้ส่งผลต่อการบริหารงานของ Private Equity เองในอนาคต
ท้ายที่สุด ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบ LBO ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขัน และการฟื้นฟูกิจการของบริษัทที่ Private Equity เข้าไปลงทุน เพราะหากบริษัทที่เข้าไปลงทุน ไม่สามารถคืนเงินได้ ผลกระทบก็จะกลับมาตกที่เจ้าหนี้ หรือ Private Equity ดังนั้น ความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารกองทุนที่ถูกส่งเข้าไปบริหารงาน จึงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุน ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจ ก็เป็นปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่า จะไปในทิศทางใด
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : ลอร์ดเคน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าจะยกย่องบุคคลที่เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ไม่มีคนคิดมาก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชนในวงกว้างว่าเป็น "บิดา" แล้วละก็ John Maynard Keynes หรือ ลอร์ด เคน ก็ถือว่าเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์หลังยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ" เคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ "สุดโต่ง" "รุนแรง" และเป็นคนที่ "สวนกระแส"
ความคิดของเขานั้นเป็นประเภทที่ว่า "ถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน"
นั่นก็พูดแบบเวอร์ๆ แต่จริงๆ แล้ว วิธีการก็คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น รัฐบาลควรที่จะสร้างงานขึ้นมาเช่น สร้างถนนหนทาง เขื่อน และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงานชดเชยกับการปิดงานของเอกชน
วิธีนี้จะทำให้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ และนั่นทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลัง ปี 1929 สร้างงานต่างๆ ขึ้น ที่โดดเด่นก็คือ เขื่อนฮูเวอร์ และหนังสือที่เป็นต้นตำรับสำคัญที่ทำให้เคนโด่งดังและเป็นหนังสือคลาสสิกก็ คือ General Theory of Employment, Interest, and Money
แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จัก ลอร์ด เคน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์แล้ว เคนยังเป็นนักลงทุนตัวยงที่ผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 เคยเจ๊งและกลับมาร่ำรวยจากการลงทุน ซึ่งจนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1945 เขามีเงินถ้านับเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ก็มีถึงประมาณหนึ่งพันล้านบาทไทย ผลตอบแทนการลงทุนของเขาในช่วง 25 ปี สูงถึง 13% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น
ถ้าคิดถึงว่านี่เป็นการลงทุนที่ผ่านช่วงภาวะ วิกฤติแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นสถิติที่สุดยอดคนหนึ่ง และเนื่องจากว่าเคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนคนแรกๆ ที่มีหลักการและวิธีการที่แตกต่างกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้าเขา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น "ซือแป๋" คนหนึ่งของวงการนักลงทุน แม้ชื่อในฐานะของการเป็นนักลงทุนของเขา อาจจะถูกกลบโดยชื่อในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้นๆ ของโลก เรามาดูกันว่าเคนมีหลักการลงทุนอย่างไร
ข้อแรก และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ มีความคิดสวนกระแสกับคนทั่วไป ภายใต้พื้นฐานสำคัญก็คือ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีหรือข้อดีของมัน การลงทุนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแพง ดังนั้นมันก็ไม่น่าสนใจ
ข้อสอง เลือกการลงทุน น้อยตัวหรือน้อยอย่าง โดยคำนึงถึงความถูกของมันเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมันในปัจจุบันและ ศักยภาพของมันในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวอื่นในช่วงเวลา เดียวกันด้วย
ข้อสาม ให้ถือหุ้นหรือการลงทุนจำนวนน้อยตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เหล่านั้น ยาวนานผ่านภาวะที่ทั้งดี และร้าย บางทีอาจจะหลายปี จนกระทั่งมันบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ หรือจนกระทั่งมันปรากฏชัดเจนว่า เราซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นผิดตัว
ข้อสี่ ให้ถือพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุล นั่นคือ มีความเสี่ยงที่หลากหลาย และถ้าเป็นไปได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีการหักล้างกันเอง เช่น ถือหุ้นบริษัททอง เพราะมันมักจะปรับตัวตรงกันข้ามกับหุ้นทั่วไป เมื่อมีการผันผวนของราคาหุ้นหนักๆ การถือหุ้นที่มีความเสี่ยงหลากหลายแบบนี้ จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไม่สูง แม้ว่าความเสี่ยงของแต่ละตัวจะสูงมากเพราะลงทุนค่อนข้างหนักในแต่ละตัว
หลักการลงทุนของเคนนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคล้ายๆ กับของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในแง่ที่เป็นนักลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวหรือแบบ FOCUS และถือหุ้นยาวนาน ไม่ค่อยขาย แต่ต้องไม่ลืมว่าเคนนั้นมาก่อนบัฟเฟตต์ ดังนั้น ถ้าจะว่าไป ต้นตำรับของการลงทุนแบบโฟกัสนั้นมาจากเคน ส่วนบัฟเฟตต์มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การเป็น "ชาวสวน" ของเคนนั้นดูเหมือนจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงปี 1929 ถึง 1936 นั่นก็คือ ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยอม "โยนผ้า" ถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว เคนกลับลงเงินถึง 65% เข้าไปในตลาดหุ้นที่เขาดูว่ามีราคาถูกมาก เช่นเดียวกัน เขายังใช้เงินกู้จำนวนมากซื้อหุ้น
ในปี 1936 เขามีความมั่งคั่งคิดเป็นเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ แต่หนี้เขามีถึง 300,000 ปอนด์ แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ค่อยๆ ลดหนี้ลงจนเหลือประมาณแค่ 12% ในปี 1939 ข้อสรุปก็คือ เขาใช้เงินกู้มากในช่วงที่เขาเห็นว่าเป็น "โอกาส" ในขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ แต่ในช่วงที่โอกาสลดลงเขาก็ไม่ได้ใช้
แม้ว่าเคนจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์ แต่เขาเองไม่เคยใช้ "ความสามารถในการคาดการณ์" ตัวเลขทางเศรษฐกิจมาใช้ในการลงทุน เขาเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นคาดการณ์ไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ประโยชน์
เขาบอกว่า การผันผวนของตลาดหุ้นทำให้เกิดหุ้นราคาถูกมากมาย ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนก็ทำให้คนไม่กล้าเข้ามาฉวยโอกาสจากมัน ดังนั้น ถ้าเรามีความหนักแน่น ใจเย็นพอ เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์จากมันได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสูงในการลงทุน เคนเป็นข้อยกเว้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทสุดโต่ง และคิดไม่เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป เขารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดีมากจนอาจจะรู้ว่า การลงทุนนั้นเป็นเรื่องระดับเล็กถึงเล็กมาก
วิธีที่จะเอาชนะในการลงทุนได้ จึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกหุ้น มากกว่าความสามารถในการมองภาพรวม แต่แน่นอน ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้พฤติกรรม ทางเศรษฐกิจของคน เพียงแต่เศรษฐศาสตร์ระดับสูงนั้น ไม่มีความจำเป็นสำหรับการลงทุนนัก
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าจะยกย่องบุคคลที่เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ไม่มีคนคิดมาก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชนในวงกว้างว่าเป็น "บิดา" แล้วละก็ John Maynard Keynes หรือ ลอร์ด เคน ก็ถือว่าเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์หลังยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ" เคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ "สุดโต่ง" "รุนแรง" และเป็นคนที่ "สวนกระแส"
ความคิดของเขานั้นเป็นประเภทที่ว่า "ถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน"
นั่นก็พูดแบบเวอร์ๆ แต่จริงๆ แล้ว วิธีการก็คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น รัฐบาลควรที่จะสร้างงานขึ้นมาเช่น สร้างถนนหนทาง เขื่อน และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงานชดเชยกับการปิดงานของเอกชน
วิธีนี้จะทำให้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ และนั่นทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลัง ปี 1929 สร้างงานต่างๆ ขึ้น ที่โดดเด่นก็คือ เขื่อนฮูเวอร์ และหนังสือที่เป็นต้นตำรับสำคัญที่ทำให้เคนโด่งดังและเป็นหนังสือคลาสสิกก็ คือ General Theory of Employment, Interest, and Money
แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จัก ลอร์ด เคน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์แล้ว เคนยังเป็นนักลงทุนตัวยงที่ผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 เคยเจ๊งและกลับมาร่ำรวยจากการลงทุน ซึ่งจนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1945 เขามีเงินถ้านับเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ก็มีถึงประมาณหนึ่งพันล้านบาทไทย ผลตอบแทนการลงทุนของเขาในช่วง 25 ปี สูงถึง 13% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น
ถ้าคิดถึงว่านี่เป็นการลงทุนที่ผ่านช่วงภาวะ วิกฤติแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นสถิติที่สุดยอดคนหนึ่ง และเนื่องจากว่าเคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนคนแรกๆ ที่มีหลักการและวิธีการที่แตกต่างกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้าเขา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น "ซือแป๋" คนหนึ่งของวงการนักลงทุน แม้ชื่อในฐานะของการเป็นนักลงทุนของเขา อาจจะถูกกลบโดยชื่อในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้นๆ ของโลก เรามาดูกันว่าเคนมีหลักการลงทุนอย่างไร
ข้อแรก และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ มีความคิดสวนกระแสกับคนทั่วไป ภายใต้พื้นฐานสำคัญก็คือ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีหรือข้อดีของมัน การลงทุนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแพง ดังนั้นมันก็ไม่น่าสนใจ
ข้อสอง เลือกการลงทุน น้อยตัวหรือน้อยอย่าง โดยคำนึงถึงความถูกของมันเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมันในปัจจุบันและ ศักยภาพของมันในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวอื่นในช่วงเวลา เดียวกันด้วย
ข้อสาม ให้ถือหุ้นหรือการลงทุนจำนวนน้อยตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เหล่านั้น ยาวนานผ่านภาวะที่ทั้งดี และร้าย บางทีอาจจะหลายปี จนกระทั่งมันบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ หรือจนกระทั่งมันปรากฏชัดเจนว่า เราซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นผิดตัว
ข้อสี่ ให้ถือพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุล นั่นคือ มีความเสี่ยงที่หลากหลาย และถ้าเป็นไปได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีการหักล้างกันเอง เช่น ถือหุ้นบริษัททอง เพราะมันมักจะปรับตัวตรงกันข้ามกับหุ้นทั่วไป เมื่อมีการผันผวนของราคาหุ้นหนักๆ การถือหุ้นที่มีความเสี่ยงหลากหลายแบบนี้ จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไม่สูง แม้ว่าความเสี่ยงของแต่ละตัวจะสูงมากเพราะลงทุนค่อนข้างหนักในแต่ละตัว
หลักการลงทุนของเคนนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคล้ายๆ กับของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในแง่ที่เป็นนักลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวหรือแบบ FOCUS และถือหุ้นยาวนาน ไม่ค่อยขาย แต่ต้องไม่ลืมว่าเคนนั้นมาก่อนบัฟเฟตต์ ดังนั้น ถ้าจะว่าไป ต้นตำรับของการลงทุนแบบโฟกัสนั้นมาจากเคน ส่วนบัฟเฟตต์มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การเป็น "ชาวสวน" ของเคนนั้นดูเหมือนจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงปี 1929 ถึง 1936 นั่นก็คือ ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยอม "โยนผ้า" ถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว เคนกลับลงเงินถึง 65% เข้าไปในตลาดหุ้นที่เขาดูว่ามีราคาถูกมาก เช่นเดียวกัน เขายังใช้เงินกู้จำนวนมากซื้อหุ้น
ในปี 1936 เขามีความมั่งคั่งคิดเป็นเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ แต่หนี้เขามีถึง 300,000 ปอนด์ แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ค่อยๆ ลดหนี้ลงจนเหลือประมาณแค่ 12% ในปี 1939 ข้อสรุปก็คือ เขาใช้เงินกู้มากในช่วงที่เขาเห็นว่าเป็น "โอกาส" ในขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ แต่ในช่วงที่โอกาสลดลงเขาก็ไม่ได้ใช้
แม้ว่าเคนจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์ แต่เขาเองไม่เคยใช้ "ความสามารถในการคาดการณ์" ตัวเลขทางเศรษฐกิจมาใช้ในการลงทุน เขาเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นคาดการณ์ไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ประโยชน์
เขาบอกว่า การผันผวนของตลาดหุ้นทำให้เกิดหุ้นราคาถูกมากมาย ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนก็ทำให้คนไม่กล้าเข้ามาฉวยโอกาสจากมัน ดังนั้น ถ้าเรามีความหนักแน่น ใจเย็นพอ เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์จากมันได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสูงในการลงทุน เคนเป็นข้อยกเว้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทสุดโต่ง และคิดไม่เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป เขารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดีมากจนอาจจะรู้ว่า การลงทุนนั้นเป็นเรื่องระดับเล็กถึงเล็กมาก
วิธีที่จะเอาชนะในการลงทุนได้ จึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกหุ้น มากกว่าความสามารถในการมองภาพรวม แต่แน่นอน ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้พฤติกรรม ทางเศรษฐกิจของคน เพียงแต่เศรษฐศาสตร์ระดับสูงนั้น ไม่มีความจำเป็นสำหรับการลงทุนนัก
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
"ดวง"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร,
คนที่มีเหตุผลมากๆ อย่าง Value Investor หลายๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ "ดวง" เขาไม่เชื่อว่า ดวงดาว และเวลาตกฟากของคน จะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จ หรือล้มเหลวของคนคนนั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่ง ก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดู ก็มักจะบอกว่าการดูหมอ จะต้องคำนึงถึงฐานะ และพื้นเพของคนคนนั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วย ก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า "ดวง" หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทอง หรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง
นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศ หรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทย ในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกา หรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้งๆ ที่มี IQ เท่าๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่า จะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้น มีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้น หรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จ หรือโชคชะตาของคนจากดวงดาว จึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้น มาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า "Matthew Effect" ที่อธิบายว่า ทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง "ดวง" และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่น ทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัว และสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่ง พบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อยๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือน หรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น "ผู้ใหญ่" มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไป และได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า "Accumulative Advantage" จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกตส์ และ สตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าวๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้ง บิล เกตส์ และจอบส์ ต่างก็ "โชคดี" ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ "เล่น" เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง "แทบไม่จำกัด"
ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่า ก็อาจจะทำงาน และอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น "เซียน" และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไป เขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาด และสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเอง อาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญ เช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่า บริษัทอาจจะมี "ดวง" ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลายๆ บริษัทที่ในภาวะนั้น เริ่มตั้งกิจการ หรือเป็นกิจการที่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้น ในขณะที่คู่แข่งค่อยๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ "ดวงดี" ในตอนแรกๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดก็คือ เรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิด และต่อมาอีก 25 ปี เขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกา และเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือ ความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
คนที่มีเหตุผลมากๆ อย่าง Value Investor หลายๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ "ดวง" เขาไม่เชื่อว่า ดวงดาว และเวลาตกฟากของคน จะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จ หรือล้มเหลวของคนคนนั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่ง ก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดู ก็มักจะบอกว่าการดูหมอ จะต้องคำนึงถึงฐานะ และพื้นเพของคนคนนั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วย ก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า "ดวง" หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทอง หรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง
นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศ หรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทย ในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกา หรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้งๆ ที่มี IQ เท่าๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่า จะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้น มีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้น หรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จ หรือโชคชะตาของคนจากดวงดาว จึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้น มาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า "Matthew Effect" ที่อธิบายว่า ทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง "ดวง" และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่น ทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัว และสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่ง พบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อยๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือน หรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น "ผู้ใหญ่" มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไป และได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า "Accumulative Advantage" จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกตส์ และ สตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าวๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้ง บิล เกตส์ และจอบส์ ต่างก็ "โชคดี" ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ "เล่น" เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง "แทบไม่จำกัด"
ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่า ก็อาจจะทำงาน และอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น "เซียน" และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไป เขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาด และสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเอง อาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญ เช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่า บริษัทอาจจะมี "ดวง" ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลายๆ บริษัทที่ในภาวะนั้น เริ่มตั้งกิจการ หรือเป็นกิจการที่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้น ในขณะที่คู่แข่งค่อยๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ "ดวงดี" ในตอนแรกๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดก็คือ เรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิด และต่อมาอีก 25 ปี เขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกา และเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือ ความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
โลกในมุมมองของ value investor : หุ้นรัฐวิสาหกิจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
รัฐวิสาหกิจ และบริษัทที่รัฐมีอำนาจในการควบคุมแต่ถือหุ้นไม่ถึง 50% ในตลาดหุ้นไทยนั้นมีไม่น้อย แต่ละบริษัทมักจะเป็นกิจการขนาดใหญ่และใหญ่ที่สุด หุ้นของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Blue Chip ที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนทั่วไป แต่บริษัทและหุ้นเหล่านี้มีความแตกต่างกับหุ้นของบริษัททั่วๆ ไปอยู่พอสมควร มาดูกันว่าข้อดีและข้อเสียของการเป็นบริษัทของรัฐนั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนอื่นคงต้องพูดถึงภาพใหญ่ที่สุดของหุ้นรัฐวิสาหกิจก่อนว่าเป็นกิจการที่ "ไม่มีเจ้าของ" นั่นคือ เจ้าของก็คือรัฐ ซึ่งก็คือประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนไม่สามารถและ "ไม่มีสิทธิ" มาควบคุมหรือสั่งการอะไรกับผู้บริหารและพนักงานของบริษัท คนที่มีอำนาจจริงๆ คือ "ตัวแทนของประชาชน" ซึ่งก็คือนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งและเข้ามามีอำนาจในการกำกับบริษัทรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น ดังนั้น ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจึงต้องบริหารและดำเนินกิจการในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของคนที่สามารถให้คุณให้โทษแก่ตนเอง ซึ่งก็คือนักการเมืองที่เป็นผู้ควบคุมบริษัทโดยถือว่านี่คือภารกิจอันดับหนึ่ง ส่วนผลประโยชน์ของ "ผู้ถือหุ้น" ถือเป็นภารกิจรองลงมาอยู่ในอันดับท้ายๆ หลังผลประโยชน์ของกลุ่มผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ อาทิเช่น ผลประโยชน์ของกรรมการ พนักงาน หรือ "ประชาชน" และนี่ก็คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้หุ้นรัฐวิสาหกิจแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ
สิ่งที่ตามมาจากโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ก็คือ ข้อแรก รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ต่ำกว่าบริษัทเอกชน ที่เห็นชัดเจน ก็คือ มักจะมีจำนวนพนักงานมากกว่าบริษัทเอกชนที่ทำงานคล้ายๆ กันมาก พนักงานเองก็มักจะมีสวัสดิการค่อนข้างดี มีสิทธิในการลา การรักษาพยาบาล การใช้บริการของบริษัท และสิทธิอื่นๆ มากมายเมื่อเทียบกับบริษัทเอกชน นี่ก็คงเกิดจากแนวความคิดหลักที่ว่าผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นนั้นไม่สำคัญเท่าผลประโยชน์ของพนักงาน เพราะผู้ถือหุ้นนั้น "ไม่ค่อยมีตัวตน" มีแต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อาจจะมา "บ่น" กันปีละครั้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ข้อสอง รัฐวิสาหกิจนั้น จำนวนมากมักจะซื้อทรัพย์สินหรือวัตถุดิบที่จะใช้ในการดำเนินการในราคาที่สูงกว่าบริษัทเอกชนและสูงกว่าราคาตลาด ราคาที่สูงเกินปกตินั้นมักจะกระจายกันไปในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ ซึ่งแน่นอนรวมถึงนักการเมืองที่ควบคุมกิจการด้วย และส่วนหลังนี้ ในบางครั้งเป็นรายการที่ใหญ่ที่สุด การซื้อของแพงนี้ ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนน้อยลง หรือบางครั้งก็ทำให้บริษัทได้ทรัพย์สินที่มีคุณภาพด้อยกว่าปกติ ก่อให้เกิดปัญหาในการผลิตหรือให้บริการได้
ข้อสาม ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจนั้น จำนวนมากมีคุณสมบัติหรือความสามารถที่ต่ำกว่าผู้บริหารบริษัทเอกชนที่บริหารกิจการที่มีขนาดระดับเดียวกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะในระดับผู้บริหารระดับสูงมักจะต่ำกว่าบริษัทเอกชน อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ผู้บริหารเองมักไม่มีแรงจูงใจในการที่จะบริหารกิจการให้เป็นเลิศ เพราะความก้าวหน้าของตนเองนั้น อาจจะอยู่ที่การ "ดูแล" ผู้ที่ควบคุมตนเองมากกว่า และผู้ควบคุมเองนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะเข้ามาและออกไปภายในเวลาอันสั้น จึงมักจะไม่คิดถึงการพัฒนากิจการซึ่งเป็นเรื่องระยะยาว พวกเขามักคิดแต่ว่ารัฐวิสาหกิจนั้นจะทำหรือให้อะไรเขาได้ในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจอยู่
ข้อสี่ ซึ่งคงไม่ใช่ข้อสุดท้าย ก็คือ รัฐวิสาหกิจหลายแห่งนั้น เป็นเครื่องมือของรัฐในการดำเนินนโยบายทางการเมือง ดังนั้น ในหลายๆ ครั้ง รัฐวิสาหกิจต้องทำธุรกิจแบบ "ขาดทุน" ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจที่ต้องเน้นการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นกำไรสูงสุดหรือกำไรที่เหมาะสม
ผมพูดถึงข้อเสียหรือข้อด้อยของหุ้นรัฐวิสาหกิจมาค่อนข้างมาก ลองมาดูข้อดีบ้าง และข้อดีหรือจุดเด่น ข้อแรก และมักจะเป็นจุดที่ดีที่สุดที่ลบล้างข้อด้อยทั้งหลายได้ ก็คือ รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีอำนาจการผูกขาดทางธุรกิจสูง แน่นอนไม่ใช่ผูกขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นความได้เปรียบที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกิจการเอกชน การผูกขาดหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าและบริการสูงกว่าราคาที่ควรเป็น และนี่ทำให้รัฐวิสาหกิจมีกำไรค่อนข้างดี แม้ว่าต้นทุนจะสูงกว่าระดับปกติ ประสิทธิภาพในการดำเนินการจะต่ำกว่า และการบริหารงานก็ไม่ต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากนัก
ข้อสอง ก็คือ ระบบบัญชีและการรายงานทางบัญชีของรัฐวิสาหกิจนั้น น่าจะได้มาตรฐาน และการตกแต่งบัญชีในลักษณะที่อาจเป็นการฉ้อฉลไม่น่าจะมี สาเหตุสำคัญ ก็คือ ผู้บริหารไม่มีแรงจูงใจที่จะทำ เพราะนั่นอาจจะเข้าข่ายเป็นความผิดที่ร้ายแรงตามกฎหมายรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ผลตอบแทนจากการทำแบบนั้นมีน้อยมาก
ข้อสาม ก็คือ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเป็นหุ้นของกิจการที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะเช่นเดียวกับหรือมากกว่าเพื่อการทำกำไร ดังนั้น รัฐบาลจึงมักจะไม่ขายหุ้นออกมาไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร ในบางกรณีที่ต้องการขายหุ้น รัฐบาลก็มักจะขายเป็นล็อตใหญ่ให้กับผู้ถือหุ้นสถาบัน โอกาสที่หุ้นจะถูกทยอยขายในตลาดแทบไม่มี เช่นเดียวกัน รัฐบาลก็ไม่เคยซื้อหุ้นในตลาด สิ่งนี้ประกอบกับการที่หุ้นมักมีขนาดใหญ่ ทำให้การบิดเบือนของราคาหุ้นโดยการซื้อขายของเจ้าของหรือรายใหญ่มีน้อยมาก ดังนั้น การที่เราจะ "ถูกหลอก" จากราคาหุ้นแทบไม่มี
สุดท้าย ที่ผมจะพูดถึง ก็คือ หุ้นรัฐวิสาหกิจมักจะมีอัตราการจ่ายปันผลจากผลกำไรค่อนข้างยุติธรรมและดี นี่เป็นเพราะกระทรวงการคลังต้องการเม็ดเงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้จ่าย เนื่องจากรายรับจากปันผลนั้นเป็นรายได้ที่สำคัญ ดังนั้น ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มักจะได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้ด้วย
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของ ข้อดี- ข้อเสีย ของหุ้นรัฐวิสาหกิจที่ Value Investor จะต้องเข้าใจถ้าสนใจจะลงทุน อย่าคิดแต่เพียงว่ารัฐวิสาหกิจรายนี้ "มีการบริหารงานที่ไม่ดีและไม่โปร่งใส" ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยง ในขณะที่อีกแห่งหนึ่ง "บริหารได้ดี มีกำไรสูง" เราควรลงทุน นี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิด ข้อเท็จจริงอาจเป็นว่า บริหารไม่ดีทั้งคู่เนื่องจากเรื่องของโครงสร้างอย่างที่กล่าวแล้ว แต่แห่งแรกนั้นมีการผูกขาดทางธุรกิจน้อยกว่า บางคนบอกว่าถ้ารัฐวิสาหกิจนี้ "บริหารงานดีขึ้นแล้ว" อาจจะซื้อหุ้น ความเป็นจริง ก็คือ อย่าหวังว่าจะบริหารดีขึ้น นี่เป็นเรื่องของโครงสร้าง แก้ยากมาก ต้องคิดว่า บริหารแบบนี้แหละ กำไรก็คงเท่านี้หรืออนาคตก็คงเท่านั้น หุ้นถูกน่าสนใจเพียงพอไหม
รัฐวิสาหกิจ และบริษัทที่รัฐมีอำนาจในการควบคุมแต่ถือหุ้นไม่ถึง 50% ในตลาดหุ้นไทยนั้นมีไม่น้อย แต่ละบริษัทมักจะเป็นกิจการขนาดใหญ่และใหญ่ที่สุด หุ้นของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Blue Chip ที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนทั่วไป แต่บริษัทและหุ้นเหล่านี้มีความแตกต่างกับหุ้นของบริษัททั่วๆ ไปอยู่พอสมควร มาดูกันว่าข้อดีและข้อเสียของการเป็นบริษัทของรัฐนั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนอื่นคงต้องพูดถึงภาพใหญ่ที่สุดของหุ้นรัฐวิสาหกิจก่อนว่าเป็นกิจการที่ "ไม่มีเจ้าของ" นั่นคือ เจ้าของก็คือรัฐ ซึ่งก็คือประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนไม่สามารถและ "ไม่มีสิทธิ" มาควบคุมหรือสั่งการอะไรกับผู้บริหารและพนักงานของบริษัท คนที่มีอำนาจจริงๆ คือ "ตัวแทนของประชาชน" ซึ่งก็คือนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งและเข้ามามีอำนาจในการกำกับบริษัทรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น ดังนั้น ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจึงต้องบริหารและดำเนินกิจการในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของคนที่สามารถให้คุณให้โทษแก่ตนเอง ซึ่งก็คือนักการเมืองที่เป็นผู้ควบคุมบริษัทโดยถือว่านี่คือภารกิจอันดับหนึ่ง ส่วนผลประโยชน์ของ "ผู้ถือหุ้น" ถือเป็นภารกิจรองลงมาอยู่ในอันดับท้ายๆ หลังผลประโยชน์ของกลุ่มผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ อาทิเช่น ผลประโยชน์ของกรรมการ พนักงาน หรือ "ประชาชน" และนี่ก็คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้หุ้นรัฐวิสาหกิจแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ
สิ่งที่ตามมาจากโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ก็คือ ข้อแรก รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ต่ำกว่าบริษัทเอกชน ที่เห็นชัดเจน ก็คือ มักจะมีจำนวนพนักงานมากกว่าบริษัทเอกชนที่ทำงานคล้ายๆ กันมาก พนักงานเองก็มักจะมีสวัสดิการค่อนข้างดี มีสิทธิในการลา การรักษาพยาบาล การใช้บริการของบริษัท และสิทธิอื่นๆ มากมายเมื่อเทียบกับบริษัทเอกชน นี่ก็คงเกิดจากแนวความคิดหลักที่ว่าผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นนั้นไม่สำคัญเท่าผลประโยชน์ของพนักงาน เพราะผู้ถือหุ้นนั้น "ไม่ค่อยมีตัวตน" มีแต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อาจจะมา "บ่น" กันปีละครั้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ข้อสอง รัฐวิสาหกิจนั้น จำนวนมากมักจะซื้อทรัพย์สินหรือวัตถุดิบที่จะใช้ในการดำเนินการในราคาที่สูงกว่าบริษัทเอกชนและสูงกว่าราคาตลาด ราคาที่สูงเกินปกตินั้นมักจะกระจายกันไปในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ ซึ่งแน่นอนรวมถึงนักการเมืองที่ควบคุมกิจการด้วย และส่วนหลังนี้ ในบางครั้งเป็นรายการที่ใหญ่ที่สุด การซื้อของแพงนี้ ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนน้อยลง หรือบางครั้งก็ทำให้บริษัทได้ทรัพย์สินที่มีคุณภาพด้อยกว่าปกติ ก่อให้เกิดปัญหาในการผลิตหรือให้บริการได้
ข้อสาม ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจนั้น จำนวนมากมีคุณสมบัติหรือความสามารถที่ต่ำกว่าผู้บริหารบริษัทเอกชนที่บริหารกิจการที่มีขนาดระดับเดียวกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะในระดับผู้บริหารระดับสูงมักจะต่ำกว่าบริษัทเอกชน อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ผู้บริหารเองมักไม่มีแรงจูงใจในการที่จะบริหารกิจการให้เป็นเลิศ เพราะความก้าวหน้าของตนเองนั้น อาจจะอยู่ที่การ "ดูแล" ผู้ที่ควบคุมตนเองมากกว่า และผู้ควบคุมเองนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะเข้ามาและออกไปภายในเวลาอันสั้น จึงมักจะไม่คิดถึงการพัฒนากิจการซึ่งเป็นเรื่องระยะยาว พวกเขามักคิดแต่ว่ารัฐวิสาหกิจนั้นจะทำหรือให้อะไรเขาได้ในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจอยู่
ข้อสี่ ซึ่งคงไม่ใช่ข้อสุดท้าย ก็คือ รัฐวิสาหกิจหลายแห่งนั้น เป็นเครื่องมือของรัฐในการดำเนินนโยบายทางการเมือง ดังนั้น ในหลายๆ ครั้ง รัฐวิสาหกิจต้องทำธุรกิจแบบ "ขาดทุน" ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจที่ต้องเน้นการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นกำไรสูงสุดหรือกำไรที่เหมาะสม
ผมพูดถึงข้อเสียหรือข้อด้อยของหุ้นรัฐวิสาหกิจมาค่อนข้างมาก ลองมาดูข้อดีบ้าง และข้อดีหรือจุดเด่น ข้อแรก และมักจะเป็นจุดที่ดีที่สุดที่ลบล้างข้อด้อยทั้งหลายได้ ก็คือ รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีอำนาจการผูกขาดทางธุรกิจสูง แน่นอนไม่ใช่ผูกขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นความได้เปรียบที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกิจการเอกชน การผูกขาดหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าและบริการสูงกว่าราคาที่ควรเป็น และนี่ทำให้รัฐวิสาหกิจมีกำไรค่อนข้างดี แม้ว่าต้นทุนจะสูงกว่าระดับปกติ ประสิทธิภาพในการดำเนินการจะต่ำกว่า และการบริหารงานก็ไม่ต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากนัก
ข้อสอง ก็คือ ระบบบัญชีและการรายงานทางบัญชีของรัฐวิสาหกิจนั้น น่าจะได้มาตรฐาน และการตกแต่งบัญชีในลักษณะที่อาจเป็นการฉ้อฉลไม่น่าจะมี สาเหตุสำคัญ ก็คือ ผู้บริหารไม่มีแรงจูงใจที่จะทำ เพราะนั่นอาจจะเข้าข่ายเป็นความผิดที่ร้ายแรงตามกฎหมายรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ผลตอบแทนจากการทำแบบนั้นมีน้อยมาก
ข้อสาม ก็คือ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเป็นหุ้นของกิจการที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะเช่นเดียวกับหรือมากกว่าเพื่อการทำกำไร ดังนั้น รัฐบาลจึงมักจะไม่ขายหุ้นออกมาไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร ในบางกรณีที่ต้องการขายหุ้น รัฐบาลก็มักจะขายเป็นล็อตใหญ่ให้กับผู้ถือหุ้นสถาบัน โอกาสที่หุ้นจะถูกทยอยขายในตลาดแทบไม่มี เช่นเดียวกัน รัฐบาลก็ไม่เคยซื้อหุ้นในตลาด สิ่งนี้ประกอบกับการที่หุ้นมักมีขนาดใหญ่ ทำให้การบิดเบือนของราคาหุ้นโดยการซื้อขายของเจ้าของหรือรายใหญ่มีน้อยมาก ดังนั้น การที่เราจะ "ถูกหลอก" จากราคาหุ้นแทบไม่มี
สุดท้าย ที่ผมจะพูดถึง ก็คือ หุ้นรัฐวิสาหกิจมักจะมีอัตราการจ่ายปันผลจากผลกำไรค่อนข้างยุติธรรมและดี นี่เป็นเพราะกระทรวงการคลังต้องการเม็ดเงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้จ่าย เนื่องจากรายรับจากปันผลนั้นเป็นรายได้ที่สำคัญ ดังนั้น ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มักจะได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้ด้วย
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของ ข้อดี- ข้อเสีย ของหุ้นรัฐวิสาหกิจที่ Value Investor จะต้องเข้าใจถ้าสนใจจะลงทุน อย่าคิดแต่เพียงว่ารัฐวิสาหกิจรายนี้ "มีการบริหารงานที่ไม่ดีและไม่โปร่งใส" ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยง ในขณะที่อีกแห่งหนึ่ง "บริหารได้ดี มีกำไรสูง" เราควรลงทุน นี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิด ข้อเท็จจริงอาจเป็นว่า บริหารไม่ดีทั้งคู่เนื่องจากเรื่องของโครงสร้างอย่างที่กล่าวแล้ว แต่แห่งแรกนั้นมีการผูกขาดทางธุรกิจน้อยกว่า บางคนบอกว่าถ้ารัฐวิสาหกิจนี้ "บริหารงานดีขึ้นแล้ว" อาจจะซื้อหุ้น ความเป็นจริง ก็คือ อย่าหวังว่าจะบริหารดีขึ้น นี่เป็นเรื่องของโครงสร้าง แก้ยากมาก ต้องคิดว่า บริหารแบบนี้แหละ กำไรก็คงเท่านี้หรืออนาคตก็คงเท่านั้น หุ้นถูกน่าสนใจเพียงพอไหม
Subscribe to:
Comments (Atom)