ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าจะยกย่องบุคคลที่เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ไม่มีคนคิดมาก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชนในวงกว้างว่าเป็น "บิดา" แล้วละก็ John Maynard Keynes หรือ ลอร์ด เคน ก็ถือว่าเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์หลังยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ" เคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ "สุดโต่ง" "รุนแรง" และเป็นคนที่ "สวนกระแส"
ความคิดของเขานั้นเป็นประเภทที่ว่า "ถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน"
นั่นก็พูดแบบเวอร์ๆ แต่จริงๆ แล้ว วิธีการก็คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น รัฐบาลควรที่จะสร้างงานขึ้นมาเช่น สร้างถนนหนทาง เขื่อน และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงานชดเชยกับการปิดงานของเอกชน
วิธีนี้จะทำให้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ และนั่นทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลัง ปี 1929 สร้างงานต่างๆ ขึ้น ที่โดดเด่นก็คือ เขื่อนฮูเวอร์ และหนังสือที่เป็นต้นตำรับสำคัญที่ทำให้เคนโด่งดังและเป็นหนังสือคลาสสิกก็ คือ General Theory of Employment, Interest, and Money
แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จัก ลอร์ด เคน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์แล้ว เคนยังเป็นนักลงทุนตัวยงที่ผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 เคยเจ๊งและกลับมาร่ำรวยจากการลงทุน ซึ่งจนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1945 เขามีเงินถ้านับเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ก็มีถึงประมาณหนึ่งพันล้านบาทไทย ผลตอบแทนการลงทุนของเขาในช่วง 25 ปี สูงถึง 13% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น
ถ้าคิดถึงว่านี่เป็นการลงทุนที่ผ่านช่วงภาวะ วิกฤติแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นสถิติที่สุดยอดคนหนึ่ง และเนื่องจากว่าเคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนคนแรกๆ ที่มีหลักการและวิธีการที่แตกต่างกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้าเขา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น "ซือแป๋" คนหนึ่งของวงการนักลงทุน แม้ชื่อในฐานะของการเป็นนักลงทุนของเขา อาจจะถูกกลบโดยชื่อในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้นๆ ของโลก เรามาดูกันว่าเคนมีหลักการลงทุนอย่างไร
ข้อแรก และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ มีความคิดสวนกระแสกับคนทั่วไป ภายใต้พื้นฐานสำคัญก็คือ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีหรือข้อดีของมัน การลงทุนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแพง ดังนั้นมันก็ไม่น่าสนใจ
ข้อสอง เลือกการลงทุน น้อยตัวหรือน้อยอย่าง โดยคำนึงถึงความถูกของมันเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมันในปัจจุบันและ ศักยภาพของมันในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวอื่นในช่วงเวลา เดียวกันด้วย
ข้อสาม ให้ถือหุ้นหรือการลงทุนจำนวนน้อยตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เหล่านั้น ยาวนานผ่านภาวะที่ทั้งดี และร้าย บางทีอาจจะหลายปี จนกระทั่งมันบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ หรือจนกระทั่งมันปรากฏชัดเจนว่า เราซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นผิดตัว
ข้อสี่ ให้ถือพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุล นั่นคือ มีความเสี่ยงที่หลากหลาย และถ้าเป็นไปได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีการหักล้างกันเอง เช่น ถือหุ้นบริษัททอง เพราะมันมักจะปรับตัวตรงกันข้ามกับหุ้นทั่วไป เมื่อมีการผันผวนของราคาหุ้นหนักๆ การถือหุ้นที่มีความเสี่ยงหลากหลายแบบนี้ จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไม่สูง แม้ว่าความเสี่ยงของแต่ละตัวจะสูงมากเพราะลงทุนค่อนข้างหนักในแต่ละตัว
หลักการลงทุนของเคนนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคล้ายๆ กับของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในแง่ที่เป็นนักลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวหรือแบบ FOCUS และถือหุ้นยาวนาน ไม่ค่อยขาย แต่ต้องไม่ลืมว่าเคนนั้นมาก่อนบัฟเฟตต์ ดังนั้น ถ้าจะว่าไป ต้นตำรับของการลงทุนแบบโฟกัสนั้นมาจากเคน ส่วนบัฟเฟตต์มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การเป็น "ชาวสวน" ของเคนนั้นดูเหมือนจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงปี 1929 ถึง 1936 นั่นก็คือ ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยอม "โยนผ้า" ถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว เคนกลับลงเงินถึง 65% เข้าไปในตลาดหุ้นที่เขาดูว่ามีราคาถูกมาก เช่นเดียวกัน เขายังใช้เงินกู้จำนวนมากซื้อหุ้น
ในปี 1936 เขามีความมั่งคั่งคิดเป็นเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ แต่หนี้เขามีถึง 300,000 ปอนด์ แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ค่อยๆ ลดหนี้ลงจนเหลือประมาณแค่ 12% ในปี 1939 ข้อสรุปก็คือ เขาใช้เงินกู้มากในช่วงที่เขาเห็นว่าเป็น "โอกาส" ในขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ แต่ในช่วงที่โอกาสลดลงเขาก็ไม่ได้ใช้
แม้ว่าเคนจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์ แต่เขาเองไม่เคยใช้ "ความสามารถในการคาดการณ์" ตัวเลขทางเศรษฐกิจมาใช้ในการลงทุน เขาเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นคาดการณ์ไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ประโยชน์
เขาบอกว่า การผันผวนของตลาดหุ้นทำให้เกิดหุ้นราคาถูกมากมาย ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนก็ทำให้คนไม่กล้าเข้ามาฉวยโอกาสจากมัน ดังนั้น ถ้าเรามีความหนักแน่น ใจเย็นพอ เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์จากมันได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสูงในการลงทุน เคนเป็นข้อยกเว้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทสุดโต่ง และคิดไม่เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป เขารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดีมากจนอาจจะรู้ว่า การลงทุนนั้นเป็นเรื่องระดับเล็กถึงเล็กมาก
วิธีที่จะเอาชนะในการลงทุนได้ จึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกหุ้น มากกว่าความสามารถในการมองภาพรวม แต่แน่นอน ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้พฤติกรรม ทางเศรษฐกิจของคน เพียงแต่เศรษฐศาสตร์ระดับสูงนั้น ไม่มีความจำเป็นสำหรับการลงทุนนัก
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment