ถ้าคุณเลือกที่จะออกวิ่ง คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มองรอบ ซ้ายขวาหน้าหลังแถมยังมองไปข้างบน ได้เพื่อนหลากหลาย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ออมสินผ่านข้อจำกัดเดิมๆ ในยุคสมัยของ “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผู้อำนวยการธนาคารคนที่ 14 ผู้เล่นบทผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
เขามองว่า การฝ่าเข้าไปบนผนังที่ตีบตัน คือการออกแรงทั้งหมด เพื่อพุ่งไปข้างหน้าให้ทะลุผ่านกำแพง
“มันเกินจุดตายของคน เกินจากจุดชนกำแพง”
ไม่ต่างอะไรกับมาราธอน กีฬา อึด ถึก ทรหด เป็นอีกหนึ่งจุดตายที่สอนให้คนมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม และทะเยอทะยานอย่างถึงที่สุด
เพราะไม่ว่าจะถึงเส้นชัยหลักกิโลเมตรที่ 42.195 สักกี่ครั้ง จุด Start และจุด Finish ก็ยังตีพุงคอยสนามถัดไปเสมอ
เลอศักดิ์ “หลงใหล” การวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ถือเป็นกีฬาประเภทเดียวที่เขาไม่เคยละทิ้งตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แม้บางช่วงขณะของชีวิตเขาจะเกิดอาการ “ได้ปลื้ม” กับกีฬาของผู้นำอย่างกอล์ฟไปบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้วเขาก็มองว่า กอล์ฟใช้เวลาเปลือง และจมอยู่กับก๊วนไม่กี่คน จนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว
“แค่ซ้อมอย่างเดียว คุณต้องฝึกหวดเป็นวันๆ 5-10 ถาด ถามว่าคุณได้อะไร แค่ได้เหวี่ยงแขนเหวี่ยงไหล่ เป็นกีฬาที่เปลืองเวลากว่าการวิ่ง แถมเวลาซ้อมกอล์ฟ เราก็ไม่ได้มีเพื่อนมากเท่ากับการวิ่ง การซ้อมกอล์ฟ ใจต้องอยู่กับลูก กับไม้ และวงสวิง แต่ถ้าคุณเลือกที่จะออกวิ่ง คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มองรอบ ซ้ายขวาหน้าหลังแถมยังมองไปข้างบน ได้เพื่อนหลากหลาย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นพลวัต และมีได้ครบทุกเพศทุกวัย”
สำหรับเขาแล้วการวิ่งทำให้ดวงตาเห็นธรรม เพราะทันทีที่สาวเท้าไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกสมองโปร่งโล่ง ดวงตาเป็นประกาย เกิดเป็นสมาธิเหมือนเวลาเดินจงกรม “อะไรที่ค้างๆ อยู่มักจะคิดออกในช่วงนี้”
ผลของการซ้อมวิ่งบ่อยๆ ครั้งละ 2 ชั่วโมง ทำให้เขามีสมาธิตลอดชั่วโมงการทำงาน ยิ่งการมารับตำแหน่งไม้หนึ่งในองค์กรที่มีประวัติยาวนาน รายละเอียดของเนื้องานมีมาก พอๆ กับชั่วโมงการประชุมยาวเหยียด การมีใจจดจ่อกับทุกเรื่องที่ทำ โดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่จำเป็นต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง
ทุกหลักกิโลของการวิ่งมาราธอน เปรียบเสมือน “ทุน” ที่ถูกเขาแปลงมาเป็น “พลังงาน” เพื่อสร้างการขับเคลื่อนให้องค์กร
“มาราธอนเป็นเครื่องวัดใจคน วัดสมาธิของคน คุณจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกปรือ เพราะการวิ่งมาราธอน โดยหลีกเลี่ยงที่จะไม่เดิน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หลักเส้นชัยกิโลเมตรที่ 42.195 ไม่ต่างอะไรกับเป้าหมายการทำงานขององค์กร”
ขณะที่การวิ่งมาราธอนต้องอาศัยการฝึกซ้อม มีการเตรียมตัว รู้เขารู้เรา มีความมุ่งมั่นพยายาม การนำองค์กรก็ไม่ต่างจากการวิ่ง ผู้นำต้องรู้จักบริหารองค์กรในทุกย่างก้าวของไตรมาส ของแต่ละเดือน เพื่อให้ได้ผลรวมของปลายทางแห่งเส้นชัย
“ถ้าไม่ได้ตามแต่ละไตรมาสที่เราตั้งไว้ เราต้องปรับปรุงแต่ละก้าว ต้องเตรียมตัวตลอดเวลา เตรียมความพร้อมตลอดเวลา แม้แต่ทุกวันก็เหมือนกัน จะทำอะไรต้องจดใส่กระดาษ ต้องบอกตัวเองว่า จะทำอะไรบ้าง ต้องสะสางเรื่องอะไร”
เขามองว่าสิ่งที่เหมือนกันระหว่างกีฬาวิ่งมาราธอนกับการบริหารองค์กรออมสินก็คือ ใช้การเตรียมความพร้อม มีต้นทุนของความขยัน มีความเพียรพยายาม เพราะสุดท้ายแล้วอะไรก็ไม่หนีจากความเพียรพยายาม
แต่สิ่งสำคัญคือ บนเส้นทางสายมาราธอน กฎเหล็กที่ต้องมีไว้เตือนตัวเองเสมอคือ ต้องไม่ใจอ่อนหยุดพักเดินแทนการวิ่ง และต้องหลีกเลี่ยงการทำตัวเองให้บาดเจ็บระหว่างทาง ขณะที่บนทางด่วนธุรกรรมสายการเงิน ก็ต้องถึงที่หมายโดยปลอดภัย โดยที่องค์กรไม่หลังเดาะ และต้องไม่เป็นที่โหล่รั้งท้ายใคร
ข้อดีของการวิ่งมาราธอนคือ เป็นกีฬาที่มุ่งเน้นสุขภาพ มากกว่าห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย เมื่อเปรียบเทียบภาพนี้กับการเติบโตขององค์กรออมสินวันนี้ เขาบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ออมสินกำลังยืนอยู่ในยุคขององค์กรที่มีสุขภาพดี (healthy organization) ท่ามกลางความผันผวนของวิกฤติการเงิน
“หลายคนบอกว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อติดลบ แต่คนของออมสินสามารถนำพาธุรกิจให้ทะยานเติบโตไปได้สูงถึง 40% ตัวเลขขนาดนี้มันก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ที่สวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”
เขาตั้งคำถามว่า อะไรคืออุปสรรคของการวิ่งมาราธอน เรื่องของระยะทาง แดดจัดในตอนเที่ยงวัน ทางชันตอนขึ้นเนิน หรือฝีเท้าที่ต้องเร่งซอยถี่เวลาลงจากเขา ทั้งหมดนี้คืออุปสรรคหรือเปล่า??? หรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่ “เป็น อยู่ คือ” ตามธรรมชาติ
“ถ้าคุณมีความพยายาม มีจิตใจที่หนักแน่น คุณเอาชนะได้ทุกสิ่ง คู่แข่ง ภาวะเศรษฐกิจ เป็นเพียงปัจจัยภายนอก ถ้าทีมงานคุณแกร่ง ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ปีนี้โบนัสออมสินไม่ต่ำกว่า 5 เดือน กำไรไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ละวันมีคนอยากมาเป็นพนักงานออมสินนับแสนคน เพราะเรามั่นคงไม่น้อยหน้าใคร”
ขวบปีเศษที่เลอศักดิ์เข้ามานั่งทำงานอยู่ในอาคารทรงไทย หลังคาสีแดง กับความเป็นองค์กรสีบานเย็นที่ฉ่ำไปทั้งย่านสะพานควาย กับสถานะองค์กรขวัญใจรากหญ้า ที่กำกระแสเงินสดและสินเชื่อไว้ไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท
ทั้งหมดที่ได้มาเขาบอกว่า มาจากศักยภาพอันยิ่งใหญ่และซ่อนเร้นมานานหลายขวบปี ของสถาบันการเงินที่มีภารกิจเป็นสถานที่เก็บทรัพย์สินของประชาชนในชาติ ถึงแม้ตัวเลข 3 แสนล้านบาท จะไม่สามารถสะท้อนออกมาตรงๆ ถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศหรือจีดีพี แต่ถ้ามองโดยอ้อมว่า เป็นส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของคนในชาติ จากพฤติกรรมปลูกฝังการออมที่มีมาแต่อ้อนแต่ออก ถือได้ว่าวันนี้ออมสินได้ทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ก่อนผมเข้ามาทำงาน ไม่เคยคิดว่าออมสินจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นองค์กรที่ซ่อนสิ่งดีงามเอาไว้มากมาย มีวัฒนธรรมขององค์กร ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และการทำงานที่หลากหลายของคนแต่ละรุ่นมาอยู่รวมกัน”
ไม่มีความสำเร็จไหนกระโดดมาได้เพียงข้ามคืน แต่การเปลี่ยนแปลงของออมสินเพียงข้ามปีเศษ จากธนาคารอันดับที่ 5 มาสู่ธนาคารอันดับที่ 3 เขาบอกว่า มาจาก 3P ที่ดลบันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ People ให้ความสำคัญกับคน Process มุ่งเน้นกระบวนการทำงาน และ Product นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ภายใต้ศักยภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งขันในตลาด
“ผมสามารถนำองค์กรให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมอะไร ด้วยการลงมือศึกษาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน ที่ผ่านมาผมปรับกระบอกเงินเดือนขนานใหญ่ และมีผลบังคับใช้ทันที ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้คนทำงาน หน้าที่ของผู้นำคือ ต้องศึกษาในสิ่งที่ลงมือทำ ทำตามที่ได้พูดเอาไว้ ที่สำคัญต้องเอาจริงเอาจัง และสุดท้ายผลงานที่ออกมาจะสะท้อนออกมาเองว่า เราทำได้ และทำได้ทุกอย่าง จากที่ไม่เคยมีมาก่อน ยอมรับว่าความไม่เข้าใจกันกับคนในองค์กรบางส่วน เป็นธรรมดาที่ต้องมีแน่นอน แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ถือคติเรื่องการทำความดี รู้จักคำว่าให้ สุดท้ายสิ่งดีๆ ก็จะคืนกลับมา”
ก่อนหน้านี้ออมสินเป็นผู้ให้การสนับสนุนการแข่งขันวิ่งผลัดมหาสมุทรสู่มหาสมุทร ครั้งที่ 5 เส้นทางจาก จ.ชุมพร ถึง จ.ระนอง ภายใต้แนวคิดการวิ่งข้ามสองฟากมหาสมุทร จากแปซิฟิกสู่อินเดีย
ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรธุรกิจมาราธอนของออมสินวันนี้ ตราบเท่าที่อีกฟากของทะเลยังมีปลารอให้จับอีกมาก เพียงแต่ว่าต้องช่วยกันออกแรง (วิ่ง) และช่วยกันต่อเรือให้ยาวขึ้น
ถึงจะเป็นมหาสมุทรสุดขอบโลก ไม่แน่ว่าวันหนึ่งออมสินก็สามารถไปให้ถึง
วรนุช เจียมรจนานนท์
Tuesday, December 15, 2009
ตลาดหุ้นปี 2553 ไพบูลย์ นลินทรางกูร
สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเขียนถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2553 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่ายังดูค่อนข้างยาก ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทยและของโลกจะมีความชัดเจนขึ้นมาก และหลายๆ ประเทศรวมทั้งไทยได้ออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปแล้วเมื่อไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา แต่การที่ราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 58% นับตั้งแต่ช่วงต้นปี และถ้านับจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 72% แล้ว ทำให้การคาดการณ์ทิศทางตลาดในปีหน้าทำได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะถ้าดูจากค่า Forward P/E Ratio (ค่า P/E ที่ใช้ประมาณการกำไรในปีหน้าเป็นตัวหาร) ที่อยู่ที่ประมาณ 11 เท่า ซึ่งเป็นค่า P/E ที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ราคาหุ้นได้สะท้อนถึงภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการไปมากแล้วหรือยัง?
ประเด็นที่ถูกกล่าวขานถึงอยู่บ่อยครั้งในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา และน่าจะเป็น
3 ปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในปีหน้าก็คือ
1) ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลก
2) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก โดยเฉพาะของสหรัฐ และ
3) ความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ผมได้เขียนไว้ในเดือนที่แล้วว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรุนแรงในปีนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและตลาดเงิน โดยธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจาก US Subprime Mortgage Crisis และ Global Financial Crisis แต่การที่เม็ดเงินส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินนี้ไหลเข้าสู่ตลาดทุนแทน และทำให้ปี 2009 กลายเป็นปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากปริมาณสภาพคล่องที่มากมายแล้ว ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ รวมทั้งของไทยยังได้แรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเมื่อบวกกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แย่น้อยกว่าที่คาด ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีทองของนักลงทุนทั่วโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คือ Bull Market (ตลาดกระทิง) รอบนี้ เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอานิสงส์จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางชาติต่างๆ ที่อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบ
สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเป็นกังวลมากที่สุดในช่วงนี้ก็คือ Exit Plans ของธนาคารกลางชาติต่างๆ Exit Plans ที่ว่านี้ก็คือการหยุดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และเริ่มดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนการทำลักษณะนี้ ผลที่ตามมาก็คือสภาพคล่องส่วนเกินในระบบจะลดลงและดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรจะปรับขึ้นทันที ดอกเบี้ยระยะสั้นก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นเช่นกัน ถ้านักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะต้องเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
แต่ Exit Plans ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นยาวที่ต่ำสุดปัจจัยที่ถูกพูดถึงมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ดูเหมือนตลาดทุนจะเริ่มกังวลกับเรื่องนี้ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ) ก็มักจะออกมาสร้างความมั่นใจกับตลาดเสมอว่าจะยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีกระยะหนึ่ง เพราะความเสี่ยงของเศรษฐกิจยังมีค่อนข้างสูง ซึ่งก็ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่อง Exit Plans ของ Fed ไปได้ทุกครั้ง และทำให้ตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในขาขึ้นมาจนทุกวันนี้
แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือ Fed คงไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายนี้ไปได้ตลอดทั้งปีหน้า โดยเฉพาะถ้าTrend ของอัตราการว่างงานในสหรัฐยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า Fed อาจจะต้องเริ่มทำ Exit Plans อย่างจริงจังภายในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า และอาจจะเป็นไปได้อีกว่า Fed จะต้องเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเราดูจากสถิติย้อนหลัง จะพบว่าช่วง 3-4 เดือนแรกของการขึ้นดอกเบี้ย Fed Funds Rate ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐจะมีเพียง 2 อย่าง คือ อยู่กับที่ หรือไม่ก็ปรับลดลง
ไม่เพียงแต่สหรัฐเท่านั้น ที่จะต้องทำ Exit Strategies หรือดำเนินนโยบายทางการเงินที่รัดกุมมากขึ้นในปีหน้า แต่ธนาคารกลางเกือบทุกประเทศโดยเฉพาะใน Asia ก็จะต้องลดปริมาณสภาพคล่องและปรับดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ จีน เกาหลีใต้ น่าจะเป็นประเทศแรก ๆ ใน Asia ที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและอาจจะเริ่มทำในไตรมาสแรกที่จะถึงนี้เลย
ซึ่งถ้าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่สามารถสร้าง Positive Surprise ให้กับตลาดอีกต่อไป ผมคิดว่าน่าจะเป็นการยากที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในระดับ 50-60% แบบปีนี้อีก แต่โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ เนื่องจากค่า Forward P/E Ratio ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย ก็ยังไม่ได้จัดว่าสูงจนเกินไป แต่ Potential Upside ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่น่าจะใกล้เคียงกับ EPS Growth ของปีหน้า เช่น ของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะอยู่ประมาณ 15% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลข Recurring EPS Growth ของปี 2553 ที่ประมาณการโดยสำนักวิจัย ทิสโก้ ที่ 14%
ตัวแปรสำคัญก็คือ Timing ในการทำ Exit Strategies ถ้า Fed ยังคงเป็นห่วงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และไม่รีบร้อนทำ Exit Strategies โดยใช้วิธีค่อย ๆ ดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ก็มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่าระดับของ EPS Growth ในทางกลับกัน โอกาสที่จะเกิด Correction ในปีหน้าก็ยังมีอยู่ ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวตามคาด หรืออัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ก็ไม่น่าจะเป็น Correction ที่รุนแรงมากนัก น่าจะเป็นลักษณะของ Bull Market Correction หรือการพักฐานเพื่อปรับขึ้นต่อไปมากกว่าที่จะเป็น จุดเริ่มต้นของ Bear Market
พบกันใหม่ปีหน้าครับ สวัสดี
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้
ประเด็นที่ถูกกล่าวขานถึงอยู่บ่อยครั้งในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา และน่าจะเป็น
3 ปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในปีหน้าก็คือ
1) ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลก
2) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก โดยเฉพาะของสหรัฐ และ
3) ความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ผมได้เขียนไว้ในเดือนที่แล้วว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรุนแรงในปีนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและตลาดเงิน โดยธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจาก US Subprime Mortgage Crisis และ Global Financial Crisis แต่การที่เม็ดเงินส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินนี้ไหลเข้าสู่ตลาดทุนแทน และทำให้ปี 2009 กลายเป็นปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากปริมาณสภาพคล่องที่มากมายแล้ว ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ รวมทั้งของไทยยังได้แรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเมื่อบวกกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แย่น้อยกว่าที่คาด ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีทองของนักลงทุนทั่วโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คือ Bull Market (ตลาดกระทิง) รอบนี้ เกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอานิสงส์จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางชาติต่างๆ ที่อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบ
สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเป็นกังวลมากที่สุดในช่วงนี้ก็คือ Exit Plans ของธนาคารกลางชาติต่างๆ Exit Plans ที่ว่านี้ก็คือการหยุดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และเริ่มดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนการทำลักษณะนี้ ผลที่ตามมาก็คือสภาพคล่องส่วนเกินในระบบจะลดลงและดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรจะปรับขึ้นทันที ดอกเบี้ยระยะสั้นก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นเช่นกัน ถ้านักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะต้องเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
แต่ Exit Plans ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นยาวที่ต่ำสุดปัจจัยที่ถูกพูดถึงมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ดูเหมือนตลาดทุนจะเริ่มกังวลกับเรื่องนี้ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ) ก็มักจะออกมาสร้างความมั่นใจกับตลาดเสมอว่าจะยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีกระยะหนึ่ง เพราะความเสี่ยงของเศรษฐกิจยังมีค่อนข้างสูง ซึ่งก็ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่อง Exit Plans ของ Fed ไปได้ทุกครั้ง และทำให้ตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในขาขึ้นมาจนทุกวันนี้
แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือ Fed คงไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายนี้ไปได้ตลอดทั้งปีหน้า โดยเฉพาะถ้าTrend ของอัตราการว่างงานในสหรัฐยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า Fed อาจจะต้องเริ่มทำ Exit Plans อย่างจริงจังภายในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า และอาจจะเป็นไปได้อีกว่า Fed จะต้องเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเราดูจากสถิติย้อนหลัง จะพบว่าช่วง 3-4 เดือนแรกของการขึ้นดอกเบี้ย Fed Funds Rate ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐจะมีเพียง 2 อย่าง คือ อยู่กับที่ หรือไม่ก็ปรับลดลง
ไม่เพียงแต่สหรัฐเท่านั้น ที่จะต้องทำ Exit Strategies หรือดำเนินนโยบายทางการเงินที่รัดกุมมากขึ้นในปีหน้า แต่ธนาคารกลางเกือบทุกประเทศโดยเฉพาะใน Asia ก็จะต้องลดปริมาณสภาพคล่องและปรับดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ จีน เกาหลีใต้ น่าจะเป็นประเทศแรก ๆ ใน Asia ที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและอาจจะเริ่มทำในไตรมาสแรกที่จะถึงนี้เลย
ซึ่งถ้าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่สามารถสร้าง Positive Surprise ให้กับตลาดอีกต่อไป ผมคิดว่าน่าจะเป็นการยากที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในระดับ 50-60% แบบปีนี้อีก แต่โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นยังมีอยู่ เนื่องจากค่า Forward P/E Ratio ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย ก็ยังไม่ได้จัดว่าสูงจนเกินไป แต่ Potential Upside ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่น่าจะใกล้เคียงกับ EPS Growth ของปีหน้า เช่น ของตลาดหุ้นไทยก็น่าจะอยู่ประมาณ 15% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลข Recurring EPS Growth ของปี 2553 ที่ประมาณการโดยสำนักวิจัย ทิสโก้ ที่ 14%
ตัวแปรสำคัญก็คือ Timing ในการทำ Exit Strategies ถ้า Fed ยังคงเป็นห่วงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และไม่รีบร้อนทำ Exit Strategies โดยใช้วิธีค่อย ๆ ดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ก็มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่าระดับของ EPS Growth ในทางกลับกัน โอกาสที่จะเกิด Correction ในปีหน้าก็ยังมีอยู่ ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวตามคาด หรืออัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ก็ไม่น่าจะเป็น Correction ที่รุนแรงมากนัก น่าจะเป็นลักษณะของ Bull Market Correction หรือการพักฐานเพื่อปรับขึ้นต่อไปมากกว่าที่จะเป็น จุดเริ่มต้นของ Bear Market
พบกันใหม่ปีหน้าครับ สวัสดี
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้
Tuesday, November 3, 2009
ซื้อรถส่วนตัว vs. นั่งแท็กซี่
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ถามความเห็นผมว่า เธอควรจะซื้อรถส่วนตัวมาขับ หรือว่าควรจะนั่งแท็กซี่ไปทำงานทุกวันต่อไปดี
หลังจากได้มีโอกาสขบคิด เพื่อหาคำตอบของคำถามนี้ ผมก็ได้ค้นพบด้วยว่า ปัญหาในชีวิตประจำวันที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นคำถามนี้ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์หลายอย่างสามารถนำมาช่วยได้เยอะมาก
อย่างแรก เวลาคุณจะคิดต้นทุนของการเป็นเจ้าของรถส่วนตัว คุณต้องไม่รวมราคารถยนต์เข้าไปทั้งคัน แต่ต้องนับเฉพาะค่าเสื่อมราคาในช่วงที่ใช้งานเท่านั้น เธอบอกว่า เธอกลัวการซ่อมรถยนต์มาก เธอจึงวางแผนจะซื้อรถยนต์มือหนึ่ง เพื่อใช้งานแค่ห้าปีแล้วเปลี่ยนคันใหม่เลย เช่นนี้ต้นทุนการใช้รถยนต์ห้าปีของเธอจึงเท่ากับราคารถคันใหม่ทั้งคันหักด้วยราคาขายต่อเมื่อครบห้าปี (ประเมินจากตลาดรถมือสอง) แล้วบวกด้วยค่าน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่ประมาณได้ตลอดห้าปีเท่านั้น ไม่ใช่นับราคารถทั้งคัน
หลักคิดแบบนี้ตรงกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ข้อหนึ่งที่ว่า เวลาเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่เราสนใจ คือ ต้นทุนจม (Sunk cost) ของทางเลือกนั้นเท่านั้น เพราะว่าต้นทุนจมเป็นต้นทุนที่จะเรียกคืนกลับมาไม่ได้อีก หลังจากที่ได้ตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้นไปแล้ว มันจึงเป็นต้นทุนที่เราต้องสนใจ รถยนต์ที่ซื้อไปแล้วยังสามารถเปลี่ยนใจขายต่อได้เสมอ ดังนั้น ต้นทุนจมจึงได้แก่ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์เท่านั้น เพราะเป็นส่วนที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ไม่ใช่ราคาของรถทั้งคัน
ในทางตรงกันข้าม คนเราไม่ควรนำต้นทุนจมของทางเลือกใดๆ ที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ว กลับมาคิดอีก เพราะเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว เวลาที่คุณหลวมตัวซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่สนุกเอาเสียเลย แม้ว่าค่าตั๋วที่จ่ายไปจะแพงมากในความรู้สึกของคุณ แต่ทันทีที่คุณรู้ตัวว่า หนังเรื่องนี้ไม่มีค่าสำหรับคุณที่จะทนนั่งดูต่อไป คุณก็สามารถเดินออกโรงหนังได้เลยโดยไม่ต้องเสียดายค่าตั๋ว เพราะค่าตั๋วกลายเป็นต้นทุนจมตั้งแต่ตอนที่คุณจ่ายเงินออกไปแล้ว
กลับมาเรื่องรถยนต์กันต่อ เมื่อได้ต้นทุนรวมของการใช้รถยนต์ทั้งห้าปีมาแล้ว ก็นำไปหารด้วย จำนวนวันที่คิดว่าจะเดินทางไปทำงานตลอดห้าปี จะได้เป็นต้นทุนเฉลี่ยในการใช้รถยนต์ต่อวัน แล้วนำค่านี้ไปเปรียบเทียบกับค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันแต่ละวันดู
ปรากฏว่าในกรณีของเธอนั้น ต้นทุนของการใช้รถยนต์ส่วนตัวต่อวันแพงกว่าค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานของเธอไม่ได้ไกลมากนัก อีกทั้งตำแหน่งงานของเธอก็แทบไม่ต้องไปไหนมาไหนเลยระหว่างวัน การใช้งานที่น้อยมากเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายของการใช้รถยนต์ของเธอเมื่อคิดเป็นต่อวันแล้วแพงมาก นั่งแท็กซี่คุ้มกว่าเห็นๆ
ตรงนี้ทำให้นึกถึงหลักเศรษฐศาสตร์อีกข้อหนึ่งที่บอกว่า เวลาตัดสินใจเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่ต้องเปรียบเทียบ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นจากการเลือกทางเลือกนั้น ไม่ใช่ต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost)
การตัดสินใจซื้อรถส่วนตัว มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถยนต์ทั้งคันเสมอ ไม่ว่าคุณจะใช้รถมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้น แม้ว่าโดยทั่วไปการใช้รถส่วนตัวมักจะมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ แต่เนื่องจากการใช้รถยนต์มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถทั้งคัน เธอจึงต้องแบกรับต้นทุนส่วนเพิ่มนี้ไปทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่เธอใช้รถเลย การใช้รถยนต์จึงกลายเป็นทางเลือกที่ไม่คุ้มสำหรับเธอ ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นทุนเฉลี่ยของการใช้รถยนต์จะต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ก็ตาม
เหตุผลเดียวที่ยังพอจะอ้างได้ว่า การใช้รถส่วนตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเธอ ก็คือ บ้านของเธออยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก ทำให้การใช้แท็กซี่ไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ดังนั้น สุดท้ายแล้วคงขึ้นอยู่กับว่า ความสะดวกที่เพิ่มขึ้นนี้จะมีค่าต่อเธอมากพอที่จะชดเชยต้นทุนการใช้รถยนต์ที่แพงกว่าได้บ้างหรือเปล่า อันนี้คงต้องแล้วแต่ความรู้สึกของเธอแล้วล่ะครับ
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
หลังจากได้มีโอกาสขบคิด เพื่อหาคำตอบของคำถามนี้ ผมก็ได้ค้นพบด้วยว่า ปัญหาในชีวิตประจำวันที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นคำถามนี้ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์หลายอย่างสามารถนำมาช่วยได้เยอะมาก
อย่างแรก เวลาคุณจะคิดต้นทุนของการเป็นเจ้าของรถส่วนตัว คุณต้องไม่รวมราคารถยนต์เข้าไปทั้งคัน แต่ต้องนับเฉพาะค่าเสื่อมราคาในช่วงที่ใช้งานเท่านั้น เธอบอกว่า เธอกลัวการซ่อมรถยนต์มาก เธอจึงวางแผนจะซื้อรถยนต์มือหนึ่ง เพื่อใช้งานแค่ห้าปีแล้วเปลี่ยนคันใหม่เลย เช่นนี้ต้นทุนการใช้รถยนต์ห้าปีของเธอจึงเท่ากับราคารถคันใหม่ทั้งคันหักด้วยราคาขายต่อเมื่อครบห้าปี (ประเมินจากตลาดรถมือสอง) แล้วบวกด้วยค่าน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่ประมาณได้ตลอดห้าปีเท่านั้น ไม่ใช่นับราคารถทั้งคัน
หลักคิดแบบนี้ตรงกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ข้อหนึ่งที่ว่า เวลาเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่เราสนใจ คือ ต้นทุนจม (Sunk cost) ของทางเลือกนั้นเท่านั้น เพราะว่าต้นทุนจมเป็นต้นทุนที่จะเรียกคืนกลับมาไม่ได้อีก หลังจากที่ได้ตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้นไปแล้ว มันจึงเป็นต้นทุนที่เราต้องสนใจ รถยนต์ที่ซื้อไปแล้วยังสามารถเปลี่ยนใจขายต่อได้เสมอ ดังนั้น ต้นทุนจมจึงได้แก่ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์เท่านั้น เพราะเป็นส่วนที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ไม่ใช่ราคาของรถทั้งคัน
ในทางตรงกันข้าม คนเราไม่ควรนำต้นทุนจมของทางเลือกใดๆ ที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ว กลับมาคิดอีก เพราะเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว เวลาที่คุณหลวมตัวซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่สนุกเอาเสียเลย แม้ว่าค่าตั๋วที่จ่ายไปจะแพงมากในความรู้สึกของคุณ แต่ทันทีที่คุณรู้ตัวว่า หนังเรื่องนี้ไม่มีค่าสำหรับคุณที่จะทนนั่งดูต่อไป คุณก็สามารถเดินออกโรงหนังได้เลยโดยไม่ต้องเสียดายค่าตั๋ว เพราะค่าตั๋วกลายเป็นต้นทุนจมตั้งแต่ตอนที่คุณจ่ายเงินออกไปแล้ว
กลับมาเรื่องรถยนต์กันต่อ เมื่อได้ต้นทุนรวมของการใช้รถยนต์ทั้งห้าปีมาแล้ว ก็นำไปหารด้วย จำนวนวันที่คิดว่าจะเดินทางไปทำงานตลอดห้าปี จะได้เป็นต้นทุนเฉลี่ยในการใช้รถยนต์ต่อวัน แล้วนำค่านี้ไปเปรียบเทียบกับค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันแต่ละวันดู
ปรากฏว่าในกรณีของเธอนั้น ต้นทุนของการใช้รถยนต์ส่วนตัวต่อวันแพงกว่าค่าแท็กซี่ที่จ่ายอยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานของเธอไม่ได้ไกลมากนัก อีกทั้งตำแหน่งงานของเธอก็แทบไม่ต้องไปไหนมาไหนเลยระหว่างวัน การใช้งานที่น้อยมากเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายของการใช้รถยนต์ของเธอเมื่อคิดเป็นต่อวันแล้วแพงมาก นั่งแท็กซี่คุ้มกว่าเห็นๆ
ตรงนี้ทำให้นึกถึงหลักเศรษฐศาสตร์อีกข้อหนึ่งที่บอกว่า เวลาตัดสินใจเปรียบเทียบทางเลือก ต้นทุนที่ต้องเปรียบเทียบ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นจากการเลือกทางเลือกนั้น ไม่ใช่ต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost)
การตัดสินใจซื้อรถส่วนตัว มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถยนต์ทั้งคันเสมอ ไม่ว่าคุณจะใช้รถมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้น แม้ว่าโดยทั่วไปการใช้รถส่วนตัวมักจะมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ แต่เนื่องจากการใช้รถยนต์มีต้นทุนส่วนเพิ่ม คือ ค่าเสื่อมของรถทั้งคัน เธอจึงต้องแบกรับต้นทุนส่วนเพิ่มนี้ไปทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่เธอใช้รถเลย การใช้รถยนต์จึงกลายเป็นทางเลือกที่ไม่คุ้มสำหรับเธอ ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นทุนเฉลี่ยของการใช้รถยนต์จะต่ำกว่าการนั่งแท็กซี่ก็ตาม
เหตุผลเดียวที่ยังพอจะอ้างได้ว่า การใช้รถส่วนตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเธอ ก็คือ บ้านของเธออยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก ทำให้การใช้แท็กซี่ไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ดังนั้น สุดท้ายแล้วคงขึ้นอยู่กับว่า ความสะดวกที่เพิ่มขึ้นนี้จะมีค่าต่อเธอมากพอที่จะชดเชยต้นทุนการใช้รถยนต์ที่แพงกว่าได้บ้างหรือเปล่า อันนี้คงต้องแล้วแต่ความรู้สึกของเธอแล้วล่ะครับ
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
Tuesday, September 29, 2009
Enrich Your Life : Optimization-การจัดสรรลงทุน แบบนักลงทุนสถาบัน
อาจกล่าวได้ว่าในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนหลายแห่งได้รณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณอายุมากขึ้นโดยได้ส่งเสริมให้มีการออมหลายรูปแบบทั้งโดยตรงและผ่านหน่วยลงทุนประเภท RMF และ LTF ดังนั้นผมจะไม่ใช้คอลัมน์นี้กล่าวถึงรูปแบบการออมอีกแต่จะขอกล่าวถึง กระบวนการจัดสรรการลงทุนที่นักลงทุนสถาบันกระทำกันครับ
การทำ Asset Allocation สามารถจัดได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ คือ “Strategic Asset Allocation (SAA)” และ “Tactical Asset Allocation (TAA)” โดยสัดส่วนการลงทุนของแต่ละ Asset class จะถูกกำหนดในเวทีใหญ่ หรือ “SAA” ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “Optimization” (เปรียบได้กับ Portfolio Diversification” ครับ) ในขณะที่เวทีเล็ก “TAA” จะเป็น Panel ที่ Fund manager เป็นผู้เล่นภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดโดย SAA ครับ
ท่านผู้อ่านบางท่านอาจยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าการ Optimize portfolio นั้น กระทำเพื่อ “เพิ่มผลตอบแทน” แต่จริงๆ แล้ว Optimization มิได้ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นการ “ลดความผันผวนของผลตอบแทน” ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม (Optimal) ของ Portfolio ครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่อง Optimization ผมขออนุญาตใช้เวลาสักเล็กน้อยกล่าวถึง “ความเสี่ยง” และ “สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” นะครับ
“ความเสี่ยง” ในcontext ของ Investment หมายถึง “ความผันผวนหรือความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยของตัวเอง” (พิจารณาเฉพาะ Magnitude ไม่คำนึงถึง Direction) หรือ “Standard Deviation” นั่นเอง แปลง่ายๆ ได้ว่า “หลักทรัพย์อะไรก็ตามที่ ผลตอบแทนในแต่ละวัน (หรือสัปดาห์ หรือ เดือน) มีความสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งหลักทรัพย์ประเภทที่เสี่ยงต่ำที่สุด (หมายถึง Price risk นะครับ ไม่ใช่ Credit risk) คือ เงินฝากออมทรัพย์ (Saving) เพราะเราทราบว่า เราจะได้ดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี หรือ 0.50%/365 ต่อวัน แม้ในอีก 71 วันข้างหน้า ดอกเบี้ย Saving จะถูกปรับลดลงเหลือ 0.25% ต่อปีก็ตาม ก็มิได้ทำให้ค่าความผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่ผลตอบแทน (รายวัน) ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -5% ถึง +4% หรือเพื่อให้ชัดเจนกว่านั้น ลองพิจารณาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะพบว่า ยิ่งมีความผันผวนมากกว่าดัชนีมาก โดยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -30% ถึง +25% ในแต่ละวัน
“สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” หรือ “Correlation” ในกรณีของ Investment หมายถึง ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง หลักทรัพย์แต่ละคู่ เช่น “Equity index กับ 10yr UST” หรือ “ราคาหุ้น Microsoft กับ ดัชนี Gold” หรือ “MSCI Asia (Ex-Japan) Index กับ ราคาน้ำมัน Nymex” ค่า Correlation นั้นมีค่าตั้งแต่ -1.0 ถึง +1.0 และเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา อาจกล่าวได้ว่า Correlation ที่ใกล้เคียง “+1.0” นั้น หมายความว่า ในช่วงเวลาที่นานพอ ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน และใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก
ขณะที่ Correlation ที่ใกล้เคียง “-1.0” หมายความว่า ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามกัน แต่ใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก เช่น หลักทรัพย์ A เปลี่ยนแปลง “+0.83%” ในขณะที่ หลักทรัพย์ B เปลี่ยนแปลง “-0.72%” ส่วนกรณีของ Correlation ใกล้เคียง “ศูนย์” นั้น หมายถึง ไม่สามารถหา Pattern ที่แน่ชัดระหว่างหลักทรัพย์คู่นั้นได้
จาก Concept ที่กล่าวถึงข้างต้น เราสามารถลดความผันผวนของ Portfolio return ได้โดยการเพิ่มคู่หลักทรัพย์ที่มี Negative correlation (สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่เป็นลบ) เข้าไปใน Portfolio เพื่อทำให้ Standard Deviation ของ Portfolio นั้นมีค่าต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้ Expected return ที่ต้องการ ซึ่งนี่คือ Concept ของ Optimization ครับ
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า หัวใจสำคัญของการวาง Portfolio strategy อยู่ที่ Strategic Asset Allocation (SAA) ครับ SAA เป็นการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว (1-3 ปี) มีองค์ประชุมคือ Strategist (Macro), Risk Manager, CIO และ Fund Manager เพื่อร่วมกำหนด Assumption ต่างๆ ที่ใช้ในการทำ Optimization ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ สัดส่วนการลงทุนใน Asset class ประเภทต่างๆ โดยคณะทำงานอาจกำหนดเป็น Range กว้างๆ เพื่อให้ Fund manager ที่รับผิดชอบในแต่ละ Asset class สามารถทำ Trading ภายใต้กรอบใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ ซึ่งการทำ Trading ก็คือการทำ Tactical Asset Allocation นั่นเองครับ
นักลงทุนสถาบันกลุ่ม Pension fund ที่ลงทุนในทวีปเอเชียเป็นหลักมักจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบบ้านเกิดของตนในระดับค่อนข้างต่ำราว 10-25% เนื่องจากตลาด Emerging market มีค่าความผันผวนที่สูงมาก (25-50% volatility) ในขณะที่ Pension fund ในทวีปยุโรปสามารถจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบยุโรปได้ในสัดส่วนที่สูงกว่า หรือประมาณ 30-40% เนื่องจากตลาดยุโรปมี Volatility ต่ำกว่าเอเชียมาก
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการออมของท่านเอง โดยอาจกำหนด SAA ใน 2 ปีข้างหน้าดังนี้ “หุ้น = 30-40% : ตราสารหนี้ = 40-50% : Commodities (น้ำมัน + ทอง + Soft commodities) = 0-10%”
ในช่วงเวลาที่ท่าน Bullish ในตลาดหุ้น ท่านก็ควรจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงหรือที่ 40% (จาก SAA ข้างต้น กรอบการลงทุนสำหรับหุ้นอยู่ที่ 30-40%) ในทางกลับกัน เมื่อ Bearish ท่านก็ควรลดการลงทุนมาที่ 30% ถ้าท่านได้ทำ SAA มาอย่างดีแล้ว อย่าไปหวั่นไหวกับสภาพตลาดเพราะการวัดผลการดำเนินงานของกองทุน/การลงทุนต้องดูกันยาวๆ 3-5 ปี ขึ้นไป แต่หากสภาวะการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น 1997 Crisis หรือ 2008 Lehman crisis) เราควรต้องปรับเปลี่ยน Assumption (Standard Deviation และ Correlation) ที่ใช้สำหรับหลักทรัพย์แต่ละประเภทใหม่ และทำ Optimization ใหม่อีกครั้งครับ
อาจกล่าวได้ว่า การจัดสรรการลงทุนในภาพกว้าง หรือ “Strategic Asset Allocation เป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนระยะกลาง-ยาว” และ Asset Allocation เป็นตัวกำหนดผลตอบแทนโดยรวมของการลงทุนมากกว่าการเลือกหุ้น/หรือการใช้ Cash strategy และมากกว่าการปรับ Duration ของ Port ตราสารหนี้มากมายนัก ท่านผู้อ่านต้องติดตามข่าวต่างๆ ไม่เพียงแต่เฉพาะตลาดทุนเท่านั้นแต่ต้องให้ความสำคัญกับ Liquidity ในระบบมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ และผลต่อราคา Commodities ด้วยครับ
โดย อาสา อินทรวิชัย
arsa@ayf.co.th
การทำ Asset Allocation สามารถจัดได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ คือ “Strategic Asset Allocation (SAA)” และ “Tactical Asset Allocation (TAA)” โดยสัดส่วนการลงทุนของแต่ละ Asset class จะถูกกำหนดในเวทีใหญ่ หรือ “SAA” ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “Optimization” (เปรียบได้กับ Portfolio Diversification” ครับ) ในขณะที่เวทีเล็ก “TAA” จะเป็น Panel ที่ Fund manager เป็นผู้เล่นภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดโดย SAA ครับ
ท่านผู้อ่านบางท่านอาจยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าการ Optimize portfolio นั้น กระทำเพื่อ “เพิ่มผลตอบแทน” แต่จริงๆ แล้ว Optimization มิได้ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นการ “ลดความผันผวนของผลตอบแทน” ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม (Optimal) ของ Portfolio ครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่อง Optimization ผมขออนุญาตใช้เวลาสักเล็กน้อยกล่าวถึง “ความเสี่ยง” และ “สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” นะครับ
“ความเสี่ยง” ในcontext ของ Investment หมายถึง “ความผันผวนหรือความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยของตัวเอง” (พิจารณาเฉพาะ Magnitude ไม่คำนึงถึง Direction) หรือ “Standard Deviation” นั่นเอง แปลง่ายๆ ได้ว่า “หลักทรัพย์อะไรก็ตามที่ ผลตอบแทนในแต่ละวัน (หรือสัปดาห์ หรือ เดือน) มีความสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งหลักทรัพย์ประเภทที่เสี่ยงต่ำที่สุด (หมายถึง Price risk นะครับ ไม่ใช่ Credit risk) คือ เงินฝากออมทรัพย์ (Saving) เพราะเราทราบว่า เราจะได้ดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี หรือ 0.50%/365 ต่อวัน แม้ในอีก 71 วันข้างหน้า ดอกเบี้ย Saving จะถูกปรับลดลงเหลือ 0.25% ต่อปีก็ตาม ก็มิได้ทำให้ค่าความผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่ผลตอบแทน (รายวัน) ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -5% ถึง +4% หรือเพื่อให้ชัดเจนกว่านั้น ลองพิจารณาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะพบว่า ยิ่งมีความผันผวนมากกว่าดัชนีมาก โดยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -30% ถึง +25% ในแต่ละวัน
“สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” หรือ “Correlation” ในกรณีของ Investment หมายถึง ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง หลักทรัพย์แต่ละคู่ เช่น “Equity index กับ 10yr UST” หรือ “ราคาหุ้น Microsoft กับ ดัชนี Gold” หรือ “MSCI Asia (Ex-Japan) Index กับ ราคาน้ำมัน Nymex” ค่า Correlation นั้นมีค่าตั้งแต่ -1.0 ถึง +1.0 และเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา อาจกล่าวได้ว่า Correlation ที่ใกล้เคียง “+1.0” นั้น หมายความว่า ในช่วงเวลาที่นานพอ ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน และใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก
ขณะที่ Correlation ที่ใกล้เคียง “-1.0” หมายความว่า ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามกัน แต่ใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก เช่น หลักทรัพย์ A เปลี่ยนแปลง “+0.83%” ในขณะที่ หลักทรัพย์ B เปลี่ยนแปลง “-0.72%” ส่วนกรณีของ Correlation ใกล้เคียง “ศูนย์” นั้น หมายถึง ไม่สามารถหา Pattern ที่แน่ชัดระหว่างหลักทรัพย์คู่นั้นได้
จาก Concept ที่กล่าวถึงข้างต้น เราสามารถลดความผันผวนของ Portfolio return ได้โดยการเพิ่มคู่หลักทรัพย์ที่มี Negative correlation (สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่เป็นลบ) เข้าไปใน Portfolio เพื่อทำให้ Standard Deviation ของ Portfolio นั้นมีค่าต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้ Expected return ที่ต้องการ ซึ่งนี่คือ Concept ของ Optimization ครับ
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า หัวใจสำคัญของการวาง Portfolio strategy อยู่ที่ Strategic Asset Allocation (SAA) ครับ SAA เป็นการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว (1-3 ปี) มีองค์ประชุมคือ Strategist (Macro), Risk Manager, CIO และ Fund Manager เพื่อร่วมกำหนด Assumption ต่างๆ ที่ใช้ในการทำ Optimization ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ สัดส่วนการลงทุนใน Asset class ประเภทต่างๆ โดยคณะทำงานอาจกำหนดเป็น Range กว้างๆ เพื่อให้ Fund manager ที่รับผิดชอบในแต่ละ Asset class สามารถทำ Trading ภายใต้กรอบใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ ซึ่งการทำ Trading ก็คือการทำ Tactical Asset Allocation นั่นเองครับ
นักลงทุนสถาบันกลุ่ม Pension fund ที่ลงทุนในทวีปเอเชียเป็นหลักมักจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบบ้านเกิดของตนในระดับค่อนข้างต่ำราว 10-25% เนื่องจากตลาด Emerging market มีค่าความผันผวนที่สูงมาก (25-50% volatility) ในขณะที่ Pension fund ในทวีปยุโรปสามารถจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบยุโรปได้ในสัดส่วนที่สูงกว่า หรือประมาณ 30-40% เนื่องจากตลาดยุโรปมี Volatility ต่ำกว่าเอเชียมาก
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการออมของท่านเอง โดยอาจกำหนด SAA ใน 2 ปีข้างหน้าดังนี้ “หุ้น = 30-40% : ตราสารหนี้ = 40-50% : Commodities (น้ำมัน + ทอง + Soft commodities) = 0-10%”
ในช่วงเวลาที่ท่าน Bullish ในตลาดหุ้น ท่านก็ควรจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงหรือที่ 40% (จาก SAA ข้างต้น กรอบการลงทุนสำหรับหุ้นอยู่ที่ 30-40%) ในทางกลับกัน เมื่อ Bearish ท่านก็ควรลดการลงทุนมาที่ 30% ถ้าท่านได้ทำ SAA มาอย่างดีแล้ว อย่าไปหวั่นไหวกับสภาพตลาดเพราะการวัดผลการดำเนินงานของกองทุน/การลงทุนต้องดูกันยาวๆ 3-5 ปี ขึ้นไป แต่หากสภาวะการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น 1997 Crisis หรือ 2008 Lehman crisis) เราควรต้องปรับเปลี่ยน Assumption (Standard Deviation และ Correlation) ที่ใช้สำหรับหลักทรัพย์แต่ละประเภทใหม่ และทำ Optimization ใหม่อีกครั้งครับ
อาจกล่าวได้ว่า การจัดสรรการลงทุนในภาพกว้าง หรือ “Strategic Asset Allocation เป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนระยะกลาง-ยาว” และ Asset Allocation เป็นตัวกำหนดผลตอบแทนโดยรวมของการลงทุนมากกว่าการเลือกหุ้น/หรือการใช้ Cash strategy และมากกว่าการปรับ Duration ของ Port ตราสารหนี้มากมายนัก ท่านผู้อ่านต้องติดตามข่าวต่างๆ ไม่เพียงแต่เฉพาะตลาดทุนเท่านั้นแต่ต้องให้ความสำคัญกับ Liquidity ในระบบมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ และผลต่อราคา Commodities ด้วยครับ
โดย อาสา อินทรวิชัย
arsa@ayf.co.th
Monday, September 28, 2009
Dollar Carry Trade ฝันร้ายภาคสองของคนอเมริกัน
บรรยง วิทยวีรศักดิ์
หลังจากที่ชาวญี่ปุ่นต้องทนกล้ำกลืนกับธุรกรรม Yen Carry Trade มานานเกือบ 2 ทศวรรษ มาวันนี้ การทำ Dollar Carry Trade กำลังจะตามมาหลอกหลอนคนอเมริกัน ที่ยังไม่ตื่นดีจากฝันร้ายทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา
Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูก แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาจนใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% ไปอีกนานพอสมควรนั้น
นักลงทุนรายใหญ่ได้ใช้โอกาสนี้ กู้ยืมเงินดอลลาร์ด้วยต้นทุนต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อฝากกินดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว กล่าวคือ หนึ่ง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า สอง คือ สกุลเงินที่ลงทุนมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นในอนาคต
นอกจากการลงทุนง่ายๆ แบบเสือนอนกินแล้ว ยังมีคนที่กู้เงินดอลลาร์ แล้วนำไปซื้อทองคำ น้ำมันหรือหุ้นในต่างประเทศ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า และได้ประโยชน์ 2 ต่อเช่นเดียวกัน คือ กำไรจากราคาหุ้น และค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่มีโอกาสขยับสูงขึ้น
ตอนนี้ คนอเมริกันเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า การที่รัฐบาลของตนทุ่มเงินออกไปมากมาย เพื่อให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ทุ่มออกไป มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ดูเหมือนเงินมันจะไหลออกไปต่างประเทศมากกว่า
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่จะกู้เงินแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ไปเป็นเงินสกุลอื่นนั้น ต้องมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ถูกบิดเบือนจากกลไกปกติให้อ่อนค่าไปมากขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อเงินไหลไปประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศปลายทางดีขึ้น มันก็ย้อนกลับมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ด้อยลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูกว่า
มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "กับดักสภาพคล่อง" คือ รัฐบาลทุ่มเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แต่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อบุคคล ธนาคารจึงนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดยักษ์หรือสถาบันการเงินข้ามชาติ ที่เมื่อได้เงินแล้ว ก็ขายดอลลาร์ออก นำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ปล่อยให้สหรัฐจมอยู่ในภาวะถดถอย ซึมเซาต่อไปเรื่อยๆ
และเมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้น ธนาคารกลางก็ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หนุนให้เกิดวงจรอุบาทว์ ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวังวนนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงประกาศว่า เศรษฐกิจของตนฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นัยว่าเป็นการพูดให้ประชาชนมั่นใจ จะได้เริ่มจับจ่ายใช้สอยเงินกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นบ้างบางส่วน จะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญหลายคนของสหรัฐ ต่างออกมาตอกย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่า เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้ว สินเชื่อบุคคล (เครดิตการ์ด) ในเดือนกรกฎาคมลดลง 10.5% สินเชื่อธนาคารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 342,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 9.7% ในเดือนสิงหาคม นับว่าสูงสุดในรอบ 26 ปี และข่าวล่าสุดแจ้งว่า ยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 เดือน ได้กลับมาติดลบ 2.7% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบางมาก
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงยังอ่อนตัวต่อเนื่อง และกลับเพิ่มอัตราเร่ง เมื่อเริ่มมีธุรกรรม Dollar Carry Trade มาถึงวันนี้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้ว 14% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยดูจาก Dollar index ที่เทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักๆ 7 สกุล
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้จะไม่ทราบ แต่ท่านคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่กระตุ้นตลาดด้วยวิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะยิ่งถดถอยไปกว่านี้ การว่างงานอาจจะพุ่งถึง 20% ก็ได้
ตอนนี้ เริ่มมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่า เงินกองทุนของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐ (FDIC) กำลังร่อยหรอ หลังจากที่ชดใช้เงินให้ผู้ฝากเงินจากการที่มีธนาคารล้มทุกสัปดาห์ โดยในปีนี้ มีธนาคารล้มแล้ว 94 แห่ง หรือประมาณ 10 แห่งต่อสัปดาห์ โดย FDIC ออกมายอมรับว่ามีเงินกองทุนเหลือเพียง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มีธนาคารอีก 412 แห่ง ที่อยู่ในข่ายมีปัญหา (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป)
ดูเหมือนสหรัฐยังต้องมีเรื่องยุ่งๆ ให้สะสางอีกมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาพูด ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้ว ก็ขออย่าได้วางใจ ยิ่งมีการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade แล้วด้วย มันจะยิ่งกดไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐโงหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ
หากว่าเป้าประสงค์ของการลงทุน คือ กำไรสูงสุด ตอนนี้นักลงทุนสถาบันรวมถึงกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอเมริกัน ต่างกำลังมุ่งทำกำไรสูงสุด โดยไม่สนใจว่า นั่นกำลังทำร้ายเศรษฐกิจประเทศตนเอง
สะท้อนสัจธรรมที่ว่า "เงิน" มันไม่รู้จักคำว่า "คุณธรรม" หรอกครับ
หลังจากที่ชาวญี่ปุ่นต้องทนกล้ำกลืนกับธุรกรรม Yen Carry Trade มานานเกือบ 2 ทศวรรษ มาวันนี้ การทำ Dollar Carry Trade กำลังจะตามมาหลอกหลอนคนอเมริกัน ที่ยังไม่ตื่นดีจากฝันร้ายทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา
Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูก แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาจนใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% ไปอีกนานพอสมควรนั้น
นักลงทุนรายใหญ่ได้ใช้โอกาสนี้ กู้ยืมเงินดอลลาร์ด้วยต้นทุนต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อฝากกินดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว กล่าวคือ หนึ่ง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า สอง คือ สกุลเงินที่ลงทุนมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นในอนาคต
นอกจากการลงทุนง่ายๆ แบบเสือนอนกินแล้ว ยังมีคนที่กู้เงินดอลลาร์ แล้วนำไปซื้อทองคำ น้ำมันหรือหุ้นในต่างประเทศ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า และได้ประโยชน์ 2 ต่อเช่นเดียวกัน คือ กำไรจากราคาหุ้น และค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่มีโอกาสขยับสูงขึ้น
ตอนนี้ คนอเมริกันเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า การที่รัฐบาลของตนทุ่มเงินออกไปมากมาย เพื่อให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ทุ่มออกไป มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ดูเหมือนเงินมันจะไหลออกไปต่างประเทศมากกว่า
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่จะกู้เงินแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ไปเป็นเงินสกุลอื่นนั้น ต้องมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ถูกบิดเบือนจากกลไกปกติให้อ่อนค่าไปมากขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อเงินไหลไปประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศปลายทางดีขึ้น มันก็ย้อนกลับมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ด้อยลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูกว่า
มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "กับดักสภาพคล่อง" คือ รัฐบาลทุ่มเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แต่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อบุคคล ธนาคารจึงนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดยักษ์หรือสถาบันการเงินข้ามชาติ ที่เมื่อได้เงินแล้ว ก็ขายดอลลาร์ออก นำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ปล่อยให้สหรัฐจมอยู่ในภาวะถดถอย ซึมเซาต่อไปเรื่อยๆ
และเมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้น ธนาคารกลางก็ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หนุนให้เกิดวงจรอุบาทว์ ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวังวนนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงประกาศว่า เศรษฐกิจของตนฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นัยว่าเป็นการพูดให้ประชาชนมั่นใจ จะได้เริ่มจับจ่ายใช้สอยเงินกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นบ้างบางส่วน จะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญหลายคนของสหรัฐ ต่างออกมาตอกย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่า เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้ว สินเชื่อบุคคล (เครดิตการ์ด) ในเดือนกรกฎาคมลดลง 10.5% สินเชื่อธนาคารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 342,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 9.7% ในเดือนสิงหาคม นับว่าสูงสุดในรอบ 26 ปี และข่าวล่าสุดแจ้งว่า ยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 เดือน ได้กลับมาติดลบ 2.7% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบางมาก
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงยังอ่อนตัวต่อเนื่อง และกลับเพิ่มอัตราเร่ง เมื่อเริ่มมีธุรกรรม Dollar Carry Trade มาถึงวันนี้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้ว 14% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยดูจาก Dollar index ที่เทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักๆ 7 สกุล
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้จะไม่ทราบ แต่ท่านคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่กระตุ้นตลาดด้วยวิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะยิ่งถดถอยไปกว่านี้ การว่างงานอาจจะพุ่งถึง 20% ก็ได้
ตอนนี้ เริ่มมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่า เงินกองทุนของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐ (FDIC) กำลังร่อยหรอ หลังจากที่ชดใช้เงินให้ผู้ฝากเงินจากการที่มีธนาคารล้มทุกสัปดาห์ โดยในปีนี้ มีธนาคารล้มแล้ว 94 แห่ง หรือประมาณ 10 แห่งต่อสัปดาห์ โดย FDIC ออกมายอมรับว่ามีเงินกองทุนเหลือเพียง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มีธนาคารอีก 412 แห่ง ที่อยู่ในข่ายมีปัญหา (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป)
ดูเหมือนสหรัฐยังต้องมีเรื่องยุ่งๆ ให้สะสางอีกมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาพูด ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้ว ก็ขออย่าได้วางใจ ยิ่งมีการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade แล้วด้วย มันจะยิ่งกดไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐโงหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ
หากว่าเป้าประสงค์ของการลงทุน คือ กำไรสูงสุด ตอนนี้นักลงทุนสถาบันรวมถึงกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอเมริกัน ต่างกำลังมุ่งทำกำไรสูงสุด โดยไม่สนใจว่า นั่นกำลังทำร้ายเศรษฐกิจประเทศตนเอง
สะท้อนสัจธรรมที่ว่า "เงิน" มันไม่รู้จักคำว่า "คุณธรรม" หรอกครับ
Tuesday, September 22, 2009
เกาะติดเศรษฐกิจ : แนวคิดผ่อนกฎสินเชื่อ หลากข้อเท็จจริงที่ต้องคำนึง
เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการคลังได้เข้าหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาทางออกให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัว และสามารถทำหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น จนนำมาสู่ข้อเสนอ หรือแนวคิดให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว มีเหตุผลที่สมควรรองรับ เนื่องจากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ยังประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะจากปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจดังกล่าว ได้แผ่ขยายผลกระทบออกไป จนนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งปัญหาการว่างงานในหลายภาคส่วนของธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการผ่อนคลายกฎการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ คือ
๐ การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยที่ผ่านมา ยังคงต่ำกว่าการหดตัวของจีดีพี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ถึง ไตรมาส 2/2552 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ลดลง 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก
๐ ยังคงมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ อันเป็นผลจากมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ตามความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า
๐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ อาจยังไม่เพียงพอในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมต้น ในหลักการแล้ว หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ น่าจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้นและอาจนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด แต่เนื่องจากสินเชื่อเป็น ‘ตัวแปรตาม’ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น
๐ แนวทางการค้ำประกันสินเชื่อ แม้เป็นแนวทางที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่ก็อาจต้องระวังผลกระทบที่จะตามมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การผ่อนคลายบางกฎเกณฑ์ตามที่หลายฝ่ายเสนอ อาทิ เกณฑ์การกันสำรองหนี้ตาม IAS 39 เกณฑ์หนี้จัดชั้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมทั้งมาตร ฐานเงินกองทุนใหม่ Basel II นั้น ในหลักการแล้ว น่าจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้น อันอาจนำมาสู่การขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลหลายด้านบ่งชี้ว่า การหดตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่ง น่าจะเป็น ‘ผล’ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการหดตัวของสินเชื่อนับจากช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ หรือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีจำนวนประมาณ 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 2.86 แสนล้านบาท (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤติ) ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ ผลการทดสอบเชิงเศรษฐมิติยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อ มักเกิดขึ้นตามหลังจีดีพีประมาณ 1-2 ไตรมาส นั่นหมายความว่า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพียงลำพัง อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อีกสาเหตุหนึ่งของสินเชื่อที่หดตัวลง มาจากปัญหาด้านอุปทาน อันได้แก่ การเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า ซึ่งเป็นปมที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นกัน
ดังนั้นการแก้ปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปสู่แนวทางการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้น ผ่านการขาดดุลงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรักษาความต่อเนื่องไว้ให้ได้ ท่ามกลางปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ได้อย่างเต็มที่
ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คงใช้เวลาในการแก้ปัญหาสั้นกว่าและอาจตอบโจทย์ปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการได้ดีกว่านั้น ก็คือ การที่ภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงบางส่วนของผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ กระนั้นก็ดีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว คงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เพราะถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีและใช้เวลานานในการแก้ไข อีกทั้งยังมีอาจนำมาสู่ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภายใต้มุมมองที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ภายใต้เงื่อนไขที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ หรือคลี่คลายลงไปนั้น
ความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชนก็คงจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่คงผ่อนปรนมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่ลดลงและการแข่งขันปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง
ท้ายที่สุดแล้ว ก็น่าจะทำให้สินเชื่อมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว มีเหตุผลที่สมควรรองรับ เนื่องจากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ยังประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะจากปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจดังกล่าว ได้แผ่ขยายผลกระทบออกไป จนนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งปัญหาการว่างงานในหลายภาคส่วนของธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการผ่อนคลายกฎการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ คือ
๐ การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยที่ผ่านมา ยังคงต่ำกว่าการหดตัวของจีดีพี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ถึง ไตรมาส 2/2552 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ลดลง 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก
๐ ยังคงมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ อันเป็นผลจากมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ตามความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า
๐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ อาจยังไม่เพียงพอในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมต้น ในหลักการแล้ว หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ น่าจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้นและอาจนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด แต่เนื่องจากสินเชื่อเป็น ‘ตัวแปรตาม’ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น
๐ แนวทางการค้ำประกันสินเชื่อ แม้เป็นแนวทางที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่ก็อาจต้องระวังผลกระทบที่จะตามมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การผ่อนคลายบางกฎเกณฑ์ตามที่หลายฝ่ายเสนอ อาทิ เกณฑ์การกันสำรองหนี้ตาม IAS 39 เกณฑ์หนี้จัดชั้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมทั้งมาตร ฐานเงินกองทุนใหม่ Basel II นั้น ในหลักการแล้ว น่าจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้น อันอาจนำมาสู่การขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลหลายด้านบ่งชี้ว่า การหดตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่ง น่าจะเป็น ‘ผล’ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการหดตัวของสินเชื่อนับจากช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ หรือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีจำนวนประมาณ 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 2.86 แสนล้านบาท (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤติ) ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ ผลการทดสอบเชิงเศรษฐมิติยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อ มักเกิดขึ้นตามหลังจีดีพีประมาณ 1-2 ไตรมาส นั่นหมายความว่า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพียงลำพัง อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อีกสาเหตุหนึ่งของสินเชื่อที่หดตัวลง มาจากปัญหาด้านอุปทาน อันได้แก่ การเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า ซึ่งเป็นปมที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นกัน
ดังนั้นการแก้ปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปสู่แนวทางการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้น ผ่านการขาดดุลงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรักษาความต่อเนื่องไว้ให้ได้ ท่ามกลางปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ได้อย่างเต็มที่
ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คงใช้เวลาในการแก้ปัญหาสั้นกว่าและอาจตอบโจทย์ปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการได้ดีกว่านั้น ก็คือ การที่ภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงบางส่วนของผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ กระนั้นก็ดีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว คงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เพราะถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีและใช้เวลานานในการแก้ไข อีกทั้งยังมีอาจนำมาสู่ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภายใต้มุมมองที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ภายใต้เงื่อนไขที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ หรือคลี่คลายลงไปนั้น
ความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชนก็คงจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่คงผ่อนปรนมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่ลดลงและการแข่งขันปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง
ท้ายที่สุดแล้ว ก็น่าจะทำให้สินเชื่อมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Thursday, September 17, 2009
ความแตกต่างของคนรวย vs คนชั้นกลาง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนรวย VS คนชั้นกลาง
ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย
ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้
ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้
ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต
ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?
และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า
ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย
ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้
ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้
ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต
ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?
และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า
Subscribe to:
Comments (Atom)