Tuesday, September 29, 2009

Enrich Your Life : Optimization-การจัดสรรลงทุน แบบนักลงทุนสถาบัน

อาจกล่าวได้ว่าในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนหลายแห่งได้รณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณอายุมากขึ้นโดยได้ส่งเสริมให้มีการออมหลายรูปแบบทั้งโดยตรงและผ่านหน่วยลงทุนประเภท RMF และ LTF ดังนั้นผมจะไม่ใช้คอลัมน์นี้กล่าวถึงรูปแบบการออมอีกแต่จะขอกล่าวถึง กระบวนการจัดสรรการลงทุนที่นักลงทุนสถาบันกระทำกันครับ
การทำ Asset Allocation สามารถจัดได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ คือ “Strategic Asset Allocation (SAA)” และ “Tactical Asset Allocation (TAA)” โดยสัดส่วนการลงทุนของแต่ละ Asset class จะถูกกำหนดในเวทีใหญ่ หรือ “SAA” ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “Optimization” (เปรียบได้กับ Portfolio Diversification” ครับ) ในขณะที่เวทีเล็ก “TAA” จะเป็น Panel ที่ Fund manager เป็นผู้เล่นภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดโดย SAA ครับ

ท่านผู้อ่านบางท่านอาจยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าการ Optimize portfolio นั้น กระทำเพื่อ “เพิ่มผลตอบแทน” แต่จริงๆ แล้ว Optimization มิได้ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นการ “ลดความผันผวนของผลตอบแทน” ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม (Optimal) ของ Portfolio ครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่อง Optimization ผมขออนุญาตใช้เวลาสักเล็กน้อยกล่าวถึง “ความเสี่ยง” และ “สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” นะครับ

“ความเสี่ยง” ในcontext ของ Investment หมายถึง “ความผันผวนหรือความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยของตัวเอง” (พิจารณาเฉพาะ Magnitude ไม่คำนึงถึง Direction) หรือ “Standard Deviation” นั่นเอง แปลง่ายๆ ได้ว่า “หลักทรัพย์อะไรก็ตามที่ ผลตอบแทนในแต่ละวัน (หรือสัปดาห์ หรือ เดือน) มีความสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งหลักทรัพย์ประเภทที่เสี่ยงต่ำที่สุด (หมายถึง Price risk นะครับ ไม่ใช่ Credit risk) คือ เงินฝากออมทรัพย์ (Saving) เพราะเราทราบว่า เราจะได้ดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี หรือ 0.50%/365 ต่อวัน แม้ในอีก 71 วันข้างหน้า ดอกเบี้ย Saving จะถูกปรับลดลงเหลือ 0.25% ต่อปีก็ตาม ก็มิได้ทำให้ค่าความผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่ผลตอบแทน (รายวัน) ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -5% ถึง +4% หรือเพื่อให้ชัดเจนกว่านั้น ลองพิจารณาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะพบว่า ยิ่งมีความผันผวนมากกว่าดัชนีมาก โดยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ -30% ถึง +25% ในแต่ละวัน

“สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” หรือ “Correlation” ในกรณีของ Investment หมายถึง ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง หลักทรัพย์แต่ละคู่ เช่น “Equity index กับ 10yr UST” หรือ “ราคาหุ้น Microsoft กับ ดัชนี Gold” หรือ “MSCI Asia (Ex-Japan) Index กับ ราคาน้ำมัน Nymex” ค่า Correlation นั้นมีค่าตั้งแต่ -1.0 ถึง +1.0 และเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา อาจกล่าวได้ว่า Correlation ที่ใกล้เคียง “+1.0” นั้น หมายความว่า ในช่วงเวลาที่นานพอ ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน และใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก

ขณะที่ Correlation ที่ใกล้เคียง “-1.0” หมายความว่า ราคาหลักทรัพย์คู่นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามกัน แต่ใน Magnitude ที่ใกล้เคียงกันมาก เช่น หลักทรัพย์ A เปลี่ยนแปลง “+0.83%” ในขณะที่ หลักทรัพย์ B เปลี่ยนแปลง “-0.72%” ส่วนกรณีของ Correlation ใกล้เคียง “ศูนย์” นั้น หมายถึง ไม่สามารถหา Pattern ที่แน่ชัดระหว่างหลักทรัพย์คู่นั้นได้

จาก Concept ที่กล่าวถึงข้างต้น เราสามารถลดความผันผวนของ Portfolio return ได้โดยการเพิ่มคู่หลักทรัพย์ที่มี Negative correlation (สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่เป็นลบ) เข้าไปใน Portfolio เพื่อทำให้ Standard Deviation ของ Portfolio นั้นมีค่าต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้ Expected return ที่ต้องการ ซึ่งนี่คือ Concept ของ Optimization ครับ

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า หัวใจสำคัญของการวาง Portfolio strategy อยู่ที่ Strategic Asset Allocation (SAA) ครับ SAA เป็นการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว (1-3 ปี) มีองค์ประชุมคือ Strategist (Macro), Risk Manager, CIO และ Fund Manager เพื่อร่วมกำหนด Assumption ต่างๆ ที่ใช้ในการทำ Optimization ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ สัดส่วนการลงทุนใน Asset class ประเภทต่างๆ โดยคณะทำงานอาจกำหนดเป็น Range กว้างๆ เพื่อให้ Fund manager ที่รับผิดชอบในแต่ละ Asset class สามารถทำ Trading ภายใต้กรอบใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ ซึ่งการทำ Trading ก็คือการทำ Tactical Asset Allocation นั่นเองครับ

นักลงทุนสถาบันกลุ่ม Pension fund ที่ลงทุนในทวีปเอเชียเป็นหลักมักจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบบ้านเกิดของตนในระดับค่อนข้างต่ำราว 10-25% เนื่องจากตลาด Emerging market มีค่าความผันผวนที่สูงมาก (25-50% volatility) ในขณะที่ Pension fund ในทวีปยุโรปสามารถจัดสรรการลงทุนในหุ้นแถบยุโรปได้ในสัดส่วนที่สูงกว่า หรือประมาณ 30-40% เนื่องจากตลาดยุโรปมี Volatility ต่ำกว่าเอเชียมาก

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการออมของท่านเอง โดยอาจกำหนด SAA ใน 2 ปีข้างหน้าดังนี้ “หุ้น = 30-40% : ตราสารหนี้ = 40-50% : Commodities (น้ำมัน + ทอง + Soft commodities) = 0-10%”

ในช่วงเวลาที่ท่าน Bullish ในตลาดหุ้น ท่านก็ควรจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงหรือที่ 40% (จาก SAA ข้างต้น กรอบการลงทุนสำหรับหุ้นอยู่ที่ 30-40%) ในทางกลับกัน เมื่อ Bearish ท่านก็ควรลดการลงทุนมาที่ 30% ถ้าท่านได้ทำ SAA มาอย่างดีแล้ว อย่าไปหวั่นไหวกับสภาพตลาดเพราะการวัดผลการดำเนินงานของกองทุน/การลงทุนต้องดูกันยาวๆ 3-5 ปี ขึ้นไป แต่หากสภาวะการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น 1997 Crisis หรือ 2008 Lehman crisis) เราควรต้องปรับเปลี่ยน Assumption (Standard Deviation และ Correlation) ที่ใช้สำหรับหลักทรัพย์แต่ละประเภทใหม่ และทำ Optimization ใหม่อีกครั้งครับ

อาจกล่าวได้ว่า การจัดสรรการลงทุนในภาพกว้าง หรือ “Strategic Asset Allocation เป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนระยะกลาง-ยาว” และ Asset Allocation เป็นตัวกำหนดผลตอบแทนโดยรวมของการลงทุนมากกว่าการเลือกหุ้น/หรือการใช้ Cash strategy และมากกว่าการปรับ Duration ของ Port ตราสารหนี้มากมายนัก ท่านผู้อ่านต้องติดตามข่าวต่างๆ ไม่เพียงแต่เฉพาะตลาดทุนเท่านั้นแต่ต้องให้ความสำคัญกับ Liquidity ในระบบมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ และผลต่อราคา Commodities ด้วยครับ

โดย อาสา อินทรวิชัย

arsa@ayf.co.th

Monday, September 28, 2009

Dollar Carry Trade ฝันร้ายภาคสองของคนอเมริกัน

บรรยง วิทยวีรศักดิ์
หลังจากที่ชาวญี่ปุ่นต้องทนกล้ำกลืนกับธุรกรรม Yen Carry Trade มานานเกือบ 2 ทศวรรษ มาวันนี้ การทำ Dollar Carry Trade กำลังจะตามมาหลอกหลอนคนอเมริกัน ที่ยังไม่ตื่นดีจากฝันร้ายทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา

Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูก แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงมาจนใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% ไปอีกนานพอสมควรนั้น

นักลงทุนรายใหญ่ได้ใช้โอกาสนี้ กู้ยืมเงินดอลลาร์ด้วยต้นทุนต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อฝากกินดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศอื่นๆ เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว กล่าวคือ หนึ่ง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า สอง คือ สกุลเงินที่ลงทุนมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นในอนาคต

นอกจากการลงทุนง่ายๆ แบบเสือนอนกินแล้ว ยังมีคนที่กู้เงินดอลลาร์ แล้วนำไปซื้อทองคำ น้ำมันหรือหุ้นในต่างประเทศ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า และได้ประโยชน์ 2 ต่อเช่นเดียวกัน คือ กำไรจากราคาหุ้น และค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่มีโอกาสขยับสูงขึ้น

ตอนนี้ คนอเมริกันเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า การที่รัฐบาลของตนทุ่มเงินออกไปมากมาย เพื่อให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ทุ่มออกไป มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ดูเหมือนเงินมันจะไหลออกไปต่างประเทศมากกว่า

นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่จะกู้เงินแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ไปเป็นเงินสกุลอื่นนั้น ต้องมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ถูกบิดเบือนจากกลไกปกติให้อ่อนค่าไปมากขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อเงินไหลไปประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศปลายทางดีขึ้น มันก็ย้อนกลับมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ด้อยลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูกว่า

มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "กับดักสภาพคล่อง" คือ รัฐบาลทุ่มเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แต่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อบุคคล ธนาคารจึงนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินขนาดยักษ์หรือสถาบันการเงินข้ามชาติ ที่เมื่อได้เงินแล้ว ก็ขายดอลลาร์ออก นำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ปล่อยให้สหรัฐจมอยู่ในภาวะถดถอย ซึมเซาต่อไปเรื่อยๆ

และเมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้น ธนาคารกลางก็ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หนุนให้เกิดวงจรอุบาทว์ ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวังวนนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว

แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะชิงประกาศว่า เศรษฐกิจของตนฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นัยว่าเป็นการพูดให้ประชาชนมั่นใจ จะได้เริ่มจับจ่ายใช้สอยเงินกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นบ้างบางส่วน จะเป็นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญหลายคนของสหรัฐ ต่างออกมาตอกย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่า เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นแล้ว สินเชื่อบุคคล (เครดิตการ์ด) ในเดือนกรกฎาคมลดลง 10.5% สินเชื่อธนาคารในไตรมาสที่ 2 ลดลง 342,000 ล้านดอลลาร์

ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 9.7% ในเดือนสิงหาคม นับว่าสูงสุดในรอบ 26 ปี และข่าวล่าสุดแจ้งว่า ยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 เดือน ได้กลับมาติดลบ 2.7% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเปราะบางมาก

มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงยังอ่อนตัวต่อเนื่อง และกลับเพิ่มอัตราเร่ง เมื่อเริ่มมีธุรกรรม Dollar Carry Trade มาถึงวันนี้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้ว 14% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยดูจาก Dollar index ที่เทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักๆ 7 สกุล

เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้จะไม่ทราบ แต่ท่านคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าไม่กระตุ้นตลาดด้วยวิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะยิ่งถดถอยไปกว่านี้ การว่างงานอาจจะพุ่งถึง 20% ก็ได้

ตอนนี้ เริ่มมีข่าวออกมาในทำนองที่ว่า เงินกองทุนของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐ (FDIC) กำลังร่อยหรอ หลังจากที่ชดใช้เงินให้ผู้ฝากเงินจากการที่มีธนาคารล้มทุกสัปดาห์ โดยในปีนี้ มีธนาคารล้มแล้ว 94 แห่ง หรือประมาณ 10 แห่งต่อสัปดาห์ โดย FDIC ออกมายอมรับว่ามีเงินกองทุนเหลือเพียง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มีธนาคารอีก 412 แห่ง ที่อยู่ในข่ายมีปัญหา (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป)

ดูเหมือนสหรัฐยังต้องมีเรื่องยุ่งๆ ให้สะสางอีกมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาพูด ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นแล้ว ก็ขออย่าได้วางใจ ยิ่งมีการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade แล้วด้วย มันจะยิ่งกดไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐโงหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ

หากว่าเป้าประสงค์ของการลงทุน คือ กำไรสูงสุด ตอนนี้นักลงทุนสถาบันรวมถึงกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอเมริกัน ต่างกำลังมุ่งทำกำไรสูงสุด โดยไม่สนใจว่า นั่นกำลังทำร้ายเศรษฐกิจประเทศตนเอง

สะท้อนสัจธรรมที่ว่า "เงิน" มันไม่รู้จักคำว่า "คุณธรรม" หรอกครับ

Tuesday, September 22, 2009

เกาะติดเศรษฐกิจ : แนวคิดผ่อนกฎสินเชื่อ หลากข้อเท็จจริงที่ต้องคำนึง

เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการคลังได้เข้าหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาทางออกให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัว และสามารถทำหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น จนนำมาสู่ข้อเสนอ หรือแนวคิดให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าข้อเสนอดังกล่าว มีเหตุผลที่สมควรรองรับ เนื่องจากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่ยังประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะจากปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจดังกล่าว ได้แผ่ขยายผลกระทบออกไป จนนำมาสู่การชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งปัญหาการว่างงานในหลายภาคส่วนของธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการผ่อนคลายกฎการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสามารถสรุปได้ คือ

๐ การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยที่ผ่านมา ยังคงต่ำกว่าการหดตัวของจีดีพี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ถึง ไตรมาส 2/2552 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ลดลง 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก

๐ ยังคงมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ อันเป็นผลจากมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ตามความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า

๐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ อาจยังไม่เพียงพอในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมต้น ในหลักการแล้ว หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ น่าจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้นและอาจนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด แต่เนื่องจากสินเชื่อเป็น ‘ตัวแปรตาม’ ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของจีดีพี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น

๐ แนวทางการค้ำประกันสินเชื่อ แม้เป็นแนวทางที่น่าจะเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่ก็อาจต้องระวังผลกระทบที่จะตามมา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การผ่อนคลายบางกฎเกณฑ์ตามที่หลายฝ่ายเสนอ อาทิ เกณฑ์การกันสำรองหนี้ตาม IAS 39 เกณฑ์หนี้จัดชั้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมทั้งมาตร ฐานเงินกองทุนใหม่ Basel II นั้น ในหลักการแล้ว น่าจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจมากขึ้น อันอาจนำมาสู่การขยายสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลหลายด้านบ่งชี้ว่า การหดตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่ง น่าจะเป็น ‘ผล’ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการหดตัวของสินเชื่อนับจากช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ หรือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีจำนวนประมาณ 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการหดตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 2.86 แสนล้านบาท (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤติ) ค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ ผลการทดสอบเชิงเศรษฐมิติยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อ มักเกิดขึ้นตามหลังจีดีพีประมาณ 1-2 ไตรมาส นั่นหมายความว่า การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพียงลำพัง อาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มที่ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อีกสาเหตุหนึ่งของสินเชื่อที่หดตัวลง มาจากปัญหาด้านอุปทาน อันได้แก่ การเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารพาณิชย์ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยงเครดิตของลูกค้า ซึ่งเป็นปมที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นกัน

ดังนั้นการแก้ปัญหาการหดตัวของสินเชื่อที่ตรงจุดมากกว่า อาจต้องย้อนกลับไปสู่แนวทางการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้น ผ่านการขาดดุลงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรักษาความต่อเนื่องไว้ให้ได้ ท่ามกลางปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าว อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันสินเชื่อให้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ได้อย่างเต็มที่

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คงใช้เวลาในการแก้ปัญหาสั้นกว่าและอาจตอบโจทย์ปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการได้ดีกว่านั้น ก็คือ การที่ภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงบางส่วนของผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ กระนั้นก็ดีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว คงต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เพราะถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็อาจตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีและใช้เวลานานในการแก้ไข อีกทั้งยังมีอาจนำมาสู่ปัญหาการบกพร่องทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภายใต้มุมมองที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐ ภายใต้เงื่อนไขที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ หรือคลี่คลายลงไปนั้น

ความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชนก็คงจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่คงผ่อนปรนมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตของลูกหนี้ที่ลดลงและการแข่งขันปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง

ท้ายที่สุดแล้ว ก็น่าจะทำให้สินเชื่อมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Thursday, September 17, 2009

ความแตกต่างของคนรวย vs คนชั้นกลาง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

คนรวย VS คนชั้นกลาง

ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า

Wednesday, September 16, 2009

แนวคิดบริหารความเสี่ยงยุคใหม่ หลังวิกฤติเลแมน บราเดอร์ส

สัปดาห์นี้ของปีที่แล้ว หลังการล่มสลายของเลแมน บราเดอร์ส เศรษฐกิจการเงินโลกได้พลิกโฉมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในแง่ของปรัชญาและปฏิบัติ ในประเด็นแรก จากที่ยุโรปและสหรัฐเคยแย่งกันเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก กลับมาถือคติ "Small is Beautiful" กันหมด ถึงขนาดที่ ลอร์ด อแดร์ เทอร์เนอร์ ประธานของหน่วยงานรัฐที่ดูแลสถาบันการเงินของอังกฤษ หรือ Financial Services Authority ได้มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากการทำรายการทางการเงินต่างๆ ของสถาบันการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ที่เรียกกันว่า Tobin Tax ทางฝั่งอเมริกา ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แนะนำให้เด็กหัวกะทิรุ่นใหม่ของสหรัฐ เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์หรือหมอ แทนที่จะเลือกเรียนวิชาด้านการเงิน เพื่อหวังที่จะไปขุดทองในวอลล์สตรีท
สำหรับในประเด็นที่สอง จะเห็นได้ว่า ศัพท์ใหม่ๆ จากบิ๊กของโลกการเงิน ทั้ง เบน เบอร์นันเก้ ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ หรือลอร์ด เทอร์เนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ‘Systemic Risk’ ‘Procyclicality’ หรือ ‘Too Big to Fail’ ต่างก็ชี้ชัดว่าโลกทางการเงินในอนาคต จะมีแนวทางการปฏิบัติที่มีระบบการบริหารความเสี่ยงเข้ามาคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับจุลภาค (Micro-prudential) และระดับมหภาค (Macro-prudential) ที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ก็คือ การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินที่มีความครบเครื่องเพื่อให้สามารถทันเกมกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในอนาคตยิ่งขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมจึงขออธิบายโดยใช้บทความที่เขียน โดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งได้วิเคราะห์ความเสี่ยงของสถาบันการเงินต่างๆ ต่อระบบเศรษฐกิจในรูปแบบ Macro-prudential โดยผลการวิเคราะห์ดังกล่าว สามารถจะนำไปใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤติ เพื่อประเมินว่าควรที่จะเรียงลำดับการช่วยเหลือสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนหลังมากน้อยเท่าไร รวมถึงเพื่อหาค่าที่เหมาะสมให้กับสถาบันการเงินต่างๆ ดำรงเงินกองทุนและมาตรการอื่นๆ

หลักเกณฑ์ของการประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงิน มีอยู่ด้วยกันสามประการ ได้แก่ หนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ (Lumpiness) และ สาม ระดับความเกี่ยวข้อง (Exposure) กับปัจจัยความเสี่ยงร่วม

ในทางทฤษฎี การประเมินระดับความเสี่ยงสถาบันการเงินต่างๆ จะใช้ ค่า Shapley ในการประเมินเพื่อหาระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงิน สามารถทำได้โดยทดลองดังตาราง กรณีแรก ธนาคาร A ,B และ C ทำธุรกิจเพียงธนาคารเดียวในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A, B และ C 4 หน่วย กรณีที่สอง ธนาคาร A และ B ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 9 หน่วย นั่นก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 5 หน่วย (9 ลบ 4) กรณีที่สาม ธนาคาร A และ C ทำธุรกิจอยู่สองธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสอง 10 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 6 หน่วย (10 ลบ 4)

กรณีสุดท้าย ธนาคาร A , B และ C ทำธุรกิจอยู่สามธนาคารในระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ทั้งสาม 15 หน่วย ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแบงก์ A ในกรณีนี้เท่ากับ 4 หน่วย (15 ลบ 11) ค่า Shapley ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของทุกกรณีของแบงก์ A จึงเท่ากับ 4.5 หน่วย

โดยค่าดังกล่าว มีข้อดีกว่าการวิเคราะห์แบบอื่น ในลักษณะที่ว่า ได้พิจารณาถึงผลของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของกิจกรรมทางการเงินกับธนาคารอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้รับการพิจารณามาก่อนในช่วงก่อนวิกฤติในครั้งนี้

จากการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินผลของหลักเกณฑ์ทั้งสามข้างต้นได้ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ การเพิ่มขึ้นของระดับความเสี่ยงของระบบสถาบันการเงิน จะมีค่าที่สูงกว่าการนำระดับความเสี่ยงของแบงก์แต่ละรายมาบวกกันตรงๆ เนื่องจากผลของการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของความเสี่ยงของธนาคารแต่ละราย ทำให้ผลรวมของความเสี่ยงทั้งระบบมีค่ามากกว่าการรวมกันตรงๆ แบบพีชคณิต

หลักเกณฑ์ที่สอง ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ มีผลต่อระดับความเสี่ยงโดยรวม ในลักษณะที่ว่ายิ่งมีจำนวนธนาคารขนาดเล็กมากขึ้นเท่าใด ระดับความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ของทั้งระบบสถาบันการเงินก็ยิ่งจะลดลง ทว่าระดับความเสี่ยงเชิงระบบ จะไปตกอยู่ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเหลือจำนวนธนาคารขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยลง จากผลการศึกษาของ BIS สำหรับระบบธนาคารที่มีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง การที่จำนวนธนาคารขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจาก 5 แห่ง เป็น 25 แห่ง จะทำให้ระดับความเสี่ยงเชิงระบบลดจาก 9.8 เป็น 9.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์ ในขณะที่ระดับความเสี่ยงเชิงระบบของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จะเพิ่มขึ้นจาก 4.3 เป็น 6.3 เซนต์ต่อสินทรัพย์หนึ่งดอลลาร์

สำหรับหลักเกณฑ์ที่สาม เกี่ยวกับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ จากรูป จะเห็นได้ว่าเมื่อสัดส่วนของธนาคารขนาดใหญ่ต่อระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 15 เท่า จะทำให้ระดับความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบสูงขึ้นเกือบ 20 เท่า นั่นคือ ยิ่งจำนวนแบงก์ขนาดใหญ่มีเยอะขึ้นเท่าไร ระดับความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจนั้น ก็จะสูงขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของธนาคารขนาดใหญ่เสียอีก

เป็นที่น่าสังเกตว่า จากวิกฤติครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าตัวแปร ความสำคัญของความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งใช้ค่าเฉลี่ยของความเสียหายส่วนเกิน หรือ Expected Shortfall (ES) ที่สามารถวัดได้จากค่าเฉลี่ยของความเสียหาย ที่มีขนาดสูงกว่าค่าความเสียหายที่ระบบธนาคารรับได้ แต่จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัว ผมถือว่ายังประเมินความเสียหายต่ำเกินไป เนื่องจาก ES ใช้สมมติฐานของตัวแปรทางการเงินในอดีตในการคำนวณ ซึ่งหากจะเกิดวิกฤติครั้งต่อไปในอนาคต คงไม่มีใครสามารถเดารูปแบบของวิกฤติได้ นั่นทำให้จะได้ ES ของสถาบันการเงินซึ่งเป็นจุดเปราะบาง มีค่าน้อยกว่าที่เป็นจริง เนื่องจากค่าของตัวแปรทางการเงินในอดีตที่ไว้คำนวณค่าดังกล่าว ซึ่งควรมีค่าสูงขึ้นมากนั้น จะสามารถหาได้ก็เมื่อวิกฤติเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เกิดกับเลแมน บราเดอร์ส เมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ หากมองจากข้อมูลของวันเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว แม้ระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละรายจะสูง แต่ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ในตอนนั้นที่คำนวณจากข้อมูลในอดีตถือว่าไม่สูงมาก หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า บทความดังกล่าวของ BIS ยังให้ความสำคัญต่อระดับความเชื่อมโยงทางการเงินในระดับที่ลึกซึ้งถึงรายการทางการเงิน กับสถาบันการเงินอื่นๆ ทั่วโลก หรือ Degree of Interconnectedness น้อยเกินไป

อย่างไรก็ดี จากเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อ ทั้งระดับความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละราย ระดับการกระจุกตัวของสถาบันการเงินในระบบ และระดับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยความเสี่ยงร่วม ซึ่งเอไอจีที่เป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว มีระดับความเสี่ยงทั้งสามอยู่สูงมากนั้น ได้ตอกย้ำถึงความจริงที่ว่า การที่ทางการสหรัฐได้เข้าช่วยเหลือเอไอจีนั้น มีส่วนทำให้โลกทางการเงินแบบทุนนิยมมิต้องถึงการล่มสลาย แม้จะต้องแลกกับภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาลก็ตาม

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

boontham@econbizview.com