พูดถึงเรื่องของการซื้อขายหุ้นแล้ว ผมคิดว่ามีเทคนิคหรือมีกฎต่างๆ มากมายที่มีการคิดค้นและนำเสนอ วิธีการหรือกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละเรื่องนั้น มีหลากหลายแนวทางขึ้นอยู่กับว่า คนที่เสนอเป็นนักลงทุนแนวไหน กลยุทธ์เหล่านั้นบ่อยครั้งขัดกันเอง เช่น ถ้าเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาอาจจะบอกว่าการเล่นหุ้นต้องเล่น "ตามกระแส" แต่ถ้าเป็นแบบ Value Investor บางพวกเขาจะให้ซื้อขาย "สวนกระแส" วันนี้ผมขอนำเสนอหลักสำคัญบางประการของการซื้อขายหุ้นที่ผมเชื่อและใช้ เรียกให้เท่ว่า บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้น
ข้อ 1 ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าซื้อหุ้นโดยใช้อารมณ์ อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นกำลังวิ่ง อย่าลืมว่ามีหุ้นที่กำลัง "วิ่ง" ทุกวัน ถ้าเราซื้อ เราก็จะเป็นนักเล่นหุ้นรายวันที่มีโอกาสถูกผิด 50-50 ถ้าเราทำแบบนี้ในระยะยาวเราจะขาดทุนเสมอ
ข้อ 2 อย่าสนใจข่าวลือ หรือ "หุ้นเด็ด" ที่เราได้ยินมาไม่ว่าจะมาจากเซียน คนใน หรือ Insider ของบริษัท หรือจากคนแปลกหน้าในงานเลี้ยง เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ยินก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ยิน ข่าว หรือข้อมูลแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรนอกจากจะทำให้เราเสียเงิน
ข้อ 3 ให้ความสำคัญกับตัวกิจการ หรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาด หรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะถึงแม้สภาพทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีแต่ตัวบริษัทก็อาจจะดีได้ นอกจากนั้น ถึงกิจการอาจจะไม่ดีนักแต่ราคาหุ้นอาจจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ดังนั้นอย่าให้ภาพของตลาด หรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
ข้อ 4 หุ้นนั้น มักจะดูแย่กว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดตกต่ำถึงพื้นในช่วงตลาดหมี และดูดีกว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดวิ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงตลาดกระทิง มีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้าย และขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ
ข้อ 5 จำไว้ว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่เราจะสามารถซื้อหุ้นที่พื้นพอดี และขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากๆ นั้น หุ้นอาจจะตกต่ำลงไปเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานจริงได้มาก เช่นเดียวกัน ในยามที่ทุกคนกำลังมองโลกในแง่ดีมากๆ หุ้นอาจจะขึ้นไปเกินพื้นฐานได้มากเหมือนกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้ว ก็หวังว่ามันจะลงถึง แม้เราจะเชื่อมั่นกับการวิเคราะห์หามูลค่าของเรา
ข้อ 6 ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอนาคตในการเติบโตที่ดีมาก อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูเหมือนว่าสูงเกินไปหรือหุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปชั่วคราว เพราะถ้าเราพลาด เราอาจจะไม่สามารถซื้อมันกลับมา และทำให้เราพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในอนาคต
ข้อ 7 อย่า "หลงรักหุ้น" จน "ตาบอด" เพราะมันจะทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์กิจการได้อย่างเป็นกลางไม่มีความลำเอียง หุ้นนั้นรักได้แต่อย่าหลง เราจะต้องตรวจสอบและประเมินดูฐานะและความคุ้มค่าอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาเราก็อาจจะต้องมีความ "โหดร้าย" พอที่จะ "ตัดรัก" หรือขายทิ้งได้ถ้าพิจารณาดูแล้วว่ามัน "หมดเสน่ห์" แล้ว
ข้อ 8 อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหน กิจการอาจจะเคยกำไร 100 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจจะเคยอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียงหลัก 10-20 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ๆ กับที่เดิม อย่าลืมว่าของเดิมอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติก็ได้ ตัวเลขใหม่คือของจริง ดังนั้น ลืมตัวเลขเก่าแล้วมองไปข้างหน้า หุ้นราคา 2 บาท อาจจะยังแพงเกินไปก็ได้
ข้อ 9 เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง หุ้นคุณภาพต่ำนั้น บางครั้งอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดี และเร็วมาก แต่ความสำเร็จในระยะยาวนั้น มีโอกาสสูงกว่าที่จะเกิดกับพอร์ตของหุ้น ที่เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงเป็นหลัก Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงหุ้นดีประเภทซูเปอร์สต็อก และชอบเล่นหุ้นคุณภาพต่ำที่มีโอกาสทำกำไรหวือหวารวดเร็ว
การทำแบบนี้ถ้าทำเป็นครั้งคราวก็คงไม่เสียหายอะไรนัก แต่ถ้าเริ่มต้น ก็ทำแล้วจนในที่สุดติดเป็นนิสัย โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็จะยาก พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพต่ำนั้นยากที่จะทำให้เรารวย ตรงกันข้าม พอร์ตของกิจการที่มีคุณภาพสูงนั้น สามารถทำให้เรารวยได้ และด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก
ข้อ 10 ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เราต้องปรับการลงทุนเพื่อให้สะท้อนกับการเปลี่ยนแปลง ตัดหุ้นที่อ่อนแอลงออก ซื้อหุ้นที่ดีกว่าเข้ามา แต่นี่ไม่ใช่การเทรดหรือซื้อขายหุ้นรายวัน รายเดือน หรือแม้แต่รายปี มันขึ้นกับสถานการณ์และตัวหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไม่ถึงปี วิธีการลงทุนของเราคงไม่ใช่การเน้นหุ้นคุณภาพในการลงทุนเป็นหลัก
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของกฎในการซื้อขายหุ้นลงทุนที่ผมคิดว่าดี และสอดคล้องกันเป็นชุดแน่นอน มีกฎอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และอาจจะตรงกันข้ามกับที่ผมพูดถึง นักลงทุนคงต้องเลือกเองว่า จะเชื่อแนวความคิดหรือวิธีไหน แต่ขอบอกว่านี่คือวิธีการที่นักลงทุนเอกของโลก อาทิ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้อยู่และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Monday, March 23, 2009
Monday, March 16, 2009
โลกในมุมมองของ Value Investor : หนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเขาน่าจะมีวิธีการและ/หรือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างน้อย 3-4 อย่างดังที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้
ข้อแรกคือ เขาจะต้องมี ความรอบรู้ ความฉลาดหลักแหลม ความสามารถในการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของธุรกิจต่างๆ หลายอย่าง คนที่เก่งมากๆ ในด้านนี้มักจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนอัจฉริยะในด้านของการลงทุน หลายๆ คนมักจะเป็นคนที่มี IQ ค่อนข้างสูง
ข้อสอง เขาจะต้องทำงาน เป็นคนขยันไม่เกียจคร้าน โดยเฉพาะที่เป็นงานเกี่ยวกับการลงทุน การหมั่นค้นคว้าหาโอกาสในการลงทุน ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก คนที่ทำงานมากๆ เป็น Workaholic หรือคนบ้างาน ก็จะมีโอกาสได้รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและข้อมูลสำคัญสำหรับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำงานหนักๆ ได้มากนั้น นอกจากจะต้องเป็นคนหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีแล้ว เขามักจะต้องมี Passion หรือความหลงใหลในการลงทุนที่รุนแรงด้วย
ข้อสาม เขาจะต้องมี EQ หรือความสามารถทางอารมณ์ที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ผันผวนไปตามภาวะของตลาดและราคาหุ้น มีความสามารถที่จะคิดได้อย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง และสามารถปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ได้วางไว้อย่างมั่นคง
ข้อสี่ เขาจะต้องมีความเข้าใจหรือมี Sense หรือความรู้สึกหรือไหวพริบเกี่ยวกับภาวะของผู้คนและนักลงทุนในตลาด Sense นี้เป็นเรื่องยากที่จะสอนกัน แต่การลงทุนมานานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็ช่วยให้เรามี Sense ดีขึ้นได้
คุณสมบัติทั้งสี่ข้อนี้ ผมคิดว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวต้องมี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่คนคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติดีเด่นในทุกข้อ โดยปกติแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคุณสมบัติข้อหนึ่งข้อใดหรือสักสองข้อที่เด่น และมีคุณสมบัติในข้อที่เหลือพอใช้ แบบนี้เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ ว่าที่จริง “เซียน” หรือคนที่ประสบความสำเร็จมากนั้น มักจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมากๆ จริงๆ เพียงบางข้อเท่านั้น และนั่นยังเป็นการแบ่งแยกด้วยว่าเขาเป็น “เซียน” ประเภทไหน
คนที่อาศัยความรอบรู้หรือ IQ ทางการลงทุนเป็นหลักมักจะเป็น “เซียน” ระดับอัจฉริยะที่มักจะประสบความสำเร็จสูงและมีชื่อเสียงยาวนาน ตัวอย่างก็แน่นอน ประเภท วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล มิลเลอร์ จอห์น เทมเปิลตัน คนเหล่านี้จะมีความคิดและความเข้าใจลึกซึ้งมากในด้านของการลงทุนและของกิจการ พวกเขาจะสามารถมองเหตุการณ์ไปข้างหน้าได้ไกลกว่าและถูกต้องกว่า และลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลในระยะยาวซึ่งผลการลงทุนนั้นมักจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง นักลงทุนทั่วไปมักจะชื่นชมและยกย่องพวกเขา“หลังจาก” เห็นผลแล้ว แต่ในขณะที่พวกเขากำลังซื้อหุ้นนั้น เรามักจะแปลกใจและคิดว่าพวกเขากำลังคิดผิด เราไม่อยากซื้อหุ้นตามพวกเขาเพราะเรามองว่าหุ้นที่พวกเขากำลังซื้อนั้นดูไม่น่าจะดีและเราไม่เข้าใจว่าเขาซื้อทำไม
คนที่อาศัยความขยันทำงานหนักเป็นหนทางสู่ความสำเร็จนั้น คือคนที่อาจจะเข้าสำนักงานตั้งแต่เช้าตรู่และกลับบ้านเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว พวกเขาต้องอ่านบทวิเคราะห์เป็นสิบๆ เล่มในแต่ละสัปดาห์ และต้องเข้าประชุมฟังการบรรยายของบริษัทจดทะเบียนเกือบจะทุกวัน เวลาที่ว่างจากการอ่านพวกเขาก็มักจะต้องพูดโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการลงทุน หลังเลิกงานพวกเขายังต้องหอบแฟ้มกลับไปทำที่บ้าน วันหยุดก็มักจะไม่เป็นวันหยุดอย่างที่ควรเป็น แน่นอนผมกำลังพูดถึงคนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องติดตามบริษัทเป็นร้อยๆ แห่งหรืออย่างในสหรัฐนั้นเป็นพันๆ แห่ง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาต่างก็ขยันและทำงานหนักพอๆ กัน คนที่ประสบความสำเร็จสูงมากในกลุ่มนี้ก็คือ ปีเตอร์ ลินช์ ที่สุดท้ายต้องลาเวทีไปก่อนเกษียณเนื่องจากรับกับการทำงานแบบนั้นไม่ไหว
คนที่อาศัย EQ เป็นหลักในการประสบความสำเร็จนั้น คือคนที่มีศรัทธายึดมั่นในหลักการและนโยบายการลงทุนที่ตนเองเห็นว่าดีและเหมาะกับตนเองแล้ว นโยบายและกลยุทธ์เหล่านั้นอาจจะไม่ใช่หนทางที่ทำให้เขารวยเร็วที่สุดแต่อาจจะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เขาเชื่อมั่นว่าถ้าเขายึดหลักการที่กำหนดไว้ดีแล้วนั้น ในระยะยาวเขาก็จะบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่นเขาอาจจะกำหนดว่าเขาจะลงทุนแบบสะสมเงินที่หาได้จากการทำงานไปเรื่อยๆ ทุกเดือน โดยแบ่งเงินลงทุนไปในหุ้นและพันธบัตรเท่าๆ กัน โดยที่หุ้นลงทุนอาจจะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลักๆ ห้าบริษัทเป็นต้น และการลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนตลอดเวลาไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างของคนที่ใช้ EQ เป็นหลักและประสบความสำเร็จสูงมากก็คือ “คนธรรมดา” ที่ชื่อว่า แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนมานานแล้ว เธอเป็นสาวโสดที่ไม่เคยแต่งงาน อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เป็นคนกินเงินเดือนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปีไปแล้ว เธอยึดมั่นลงทุนในบริษัทที่เธอเห็นว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่น โค้ก ถือยาว ติดตามผลการดำเนินงาน รับปันผล ลงทุนเพิ่มวันที่เธอเสียชีวิต พอร์ตของเธอเกือบพันล้านบาท เธอทำได้เพราะอายุวันตายประมาณ 100 ปี
คนที่ใช้ Sense ในการลงทุนเป็นหลักแล้วประสบความสำเร็จนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราเรียกว่า “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้น แน่นอน ขาใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน หลายคนก็ขาดทุนหรืออยู่ไม่นาน คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผมคิดว่าพวกเขาต้องมีคุณสมบัติข้ออื่นๆ ดังที่กล่าวข้างต้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็คือ ความสามารถในด้านของจิตวิทยาการอ่านใจนักเล่นหุ้นในตลาดได้ดีกว่าคนอื่น นอกจากการอ่านเกมออกแล้วพวกเขายังน่าจะมีความสามารถในการจูงใจให้คนอื่นเล่นตามด้วย และนี่อาจจะเป็นศาสตร์ที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จสูงมากในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย
ทั้งหมดนั้นก็คือหนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน 4 แบบ นักลงทุนแต่ละคนต้องเลือกว่าวิธีไหนที่เราชอบและมีศักยภาพที่สามารถทำได้ การค้นหาตัวตนก่อนที่จะเลือกเดินทางนั้นสำคัญมาก เลือกถูกก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เลือกผิดเราอาจจะพบกับความผิดหวังหรือหายนะ สำหรับคน “กลาง ๆ” ผมแนะนำว่าแนวทางของการใช้ EQ เป็นหลักในการลงทุนเป็นวิถีทางที่น่าสนใจ และย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเลือกแนวไหน เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทุกทางด้วยมิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเขาน่าจะมีวิธีการและ/หรือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างน้อย 3-4 อย่างดังที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้
ข้อแรกคือ เขาจะต้องมี ความรอบรู้ ความฉลาดหลักแหลม ความสามารถในการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของธุรกิจต่างๆ หลายอย่าง คนที่เก่งมากๆ ในด้านนี้มักจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนอัจฉริยะในด้านของการลงทุน หลายๆ คนมักจะเป็นคนที่มี IQ ค่อนข้างสูง
ข้อสอง เขาจะต้องทำงาน เป็นคนขยันไม่เกียจคร้าน โดยเฉพาะที่เป็นงานเกี่ยวกับการลงทุน การหมั่นค้นคว้าหาโอกาสในการลงทุน ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก คนที่ทำงานมากๆ เป็น Workaholic หรือคนบ้างาน ก็จะมีโอกาสได้รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและข้อมูลสำคัญสำหรับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำงานหนักๆ ได้มากนั้น นอกจากจะต้องเป็นคนหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีแล้ว เขามักจะต้องมี Passion หรือความหลงใหลในการลงทุนที่รุนแรงด้วย
ข้อสาม เขาจะต้องมี EQ หรือความสามารถทางอารมณ์ที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ผันผวนไปตามภาวะของตลาดและราคาหุ้น มีความสามารถที่จะคิดได้อย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง และสามารถปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ได้วางไว้อย่างมั่นคง
ข้อสี่ เขาจะต้องมีความเข้าใจหรือมี Sense หรือความรู้สึกหรือไหวพริบเกี่ยวกับภาวะของผู้คนและนักลงทุนในตลาด Sense นี้เป็นเรื่องยากที่จะสอนกัน แต่การลงทุนมานานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็ช่วยให้เรามี Sense ดีขึ้นได้
คุณสมบัติทั้งสี่ข้อนี้ ผมคิดว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวต้องมี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่คนคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติดีเด่นในทุกข้อ โดยปกติแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคุณสมบัติข้อหนึ่งข้อใดหรือสักสองข้อที่เด่น และมีคุณสมบัติในข้อที่เหลือพอใช้ แบบนี้เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ ว่าที่จริง “เซียน” หรือคนที่ประสบความสำเร็จมากนั้น มักจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมากๆ จริงๆ เพียงบางข้อเท่านั้น และนั่นยังเป็นการแบ่งแยกด้วยว่าเขาเป็น “เซียน” ประเภทไหน
คนที่อาศัยความรอบรู้หรือ IQ ทางการลงทุนเป็นหลักมักจะเป็น “เซียน” ระดับอัจฉริยะที่มักจะประสบความสำเร็จสูงและมีชื่อเสียงยาวนาน ตัวอย่างก็แน่นอน ประเภท วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล มิลเลอร์ จอห์น เทมเปิลตัน คนเหล่านี้จะมีความคิดและความเข้าใจลึกซึ้งมากในด้านของการลงทุนและของกิจการ พวกเขาจะสามารถมองเหตุการณ์ไปข้างหน้าได้ไกลกว่าและถูกต้องกว่า และลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลในระยะยาวซึ่งผลการลงทุนนั้นมักจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง นักลงทุนทั่วไปมักจะชื่นชมและยกย่องพวกเขา“หลังจาก” เห็นผลแล้ว แต่ในขณะที่พวกเขากำลังซื้อหุ้นนั้น เรามักจะแปลกใจและคิดว่าพวกเขากำลังคิดผิด เราไม่อยากซื้อหุ้นตามพวกเขาเพราะเรามองว่าหุ้นที่พวกเขากำลังซื้อนั้นดูไม่น่าจะดีและเราไม่เข้าใจว่าเขาซื้อทำไม
คนที่อาศัยความขยันทำงานหนักเป็นหนทางสู่ความสำเร็จนั้น คือคนที่อาจจะเข้าสำนักงานตั้งแต่เช้าตรู่และกลับบ้านเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว พวกเขาต้องอ่านบทวิเคราะห์เป็นสิบๆ เล่มในแต่ละสัปดาห์ และต้องเข้าประชุมฟังการบรรยายของบริษัทจดทะเบียนเกือบจะทุกวัน เวลาที่ว่างจากการอ่านพวกเขาก็มักจะต้องพูดโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการลงทุน หลังเลิกงานพวกเขายังต้องหอบแฟ้มกลับไปทำที่บ้าน วันหยุดก็มักจะไม่เป็นวันหยุดอย่างที่ควรเป็น แน่นอนผมกำลังพูดถึงคนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องติดตามบริษัทเป็นร้อยๆ แห่งหรืออย่างในสหรัฐนั้นเป็นพันๆ แห่ง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาต่างก็ขยันและทำงานหนักพอๆ กัน คนที่ประสบความสำเร็จสูงมากในกลุ่มนี้ก็คือ ปีเตอร์ ลินช์ ที่สุดท้ายต้องลาเวทีไปก่อนเกษียณเนื่องจากรับกับการทำงานแบบนั้นไม่ไหว
คนที่อาศัย EQ เป็นหลักในการประสบความสำเร็จนั้น คือคนที่มีศรัทธายึดมั่นในหลักการและนโยบายการลงทุนที่ตนเองเห็นว่าดีและเหมาะกับตนเองแล้ว นโยบายและกลยุทธ์เหล่านั้นอาจจะไม่ใช่หนทางที่ทำให้เขารวยเร็วที่สุดแต่อาจจะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เขาเชื่อมั่นว่าถ้าเขายึดหลักการที่กำหนดไว้ดีแล้วนั้น ในระยะยาวเขาก็จะบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่นเขาอาจจะกำหนดว่าเขาจะลงทุนแบบสะสมเงินที่หาได้จากการทำงานไปเรื่อยๆ ทุกเดือน โดยแบ่งเงินลงทุนไปในหุ้นและพันธบัตรเท่าๆ กัน โดยที่หุ้นลงทุนอาจจะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลักๆ ห้าบริษัทเป็นต้น และการลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนตลอดเวลาไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างของคนที่ใช้ EQ เป็นหลักและประสบความสำเร็จสูงมากก็คือ “คนธรรมดา” ที่ชื่อว่า แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนมานานแล้ว เธอเป็นสาวโสดที่ไม่เคยแต่งงาน อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เป็นคนกินเงินเดือนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปีไปแล้ว เธอยึดมั่นลงทุนในบริษัทที่เธอเห็นว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่น โค้ก ถือยาว ติดตามผลการดำเนินงาน รับปันผล ลงทุนเพิ่มวันที่เธอเสียชีวิต พอร์ตของเธอเกือบพันล้านบาท เธอทำได้เพราะอายุวันตายประมาณ 100 ปี
คนที่ใช้ Sense ในการลงทุนเป็นหลักแล้วประสบความสำเร็จนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราเรียกว่า “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้น แน่นอน ขาใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน หลายคนก็ขาดทุนหรืออยู่ไม่นาน คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผมคิดว่าพวกเขาต้องมีคุณสมบัติข้ออื่นๆ ดังที่กล่าวข้างต้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็คือ ความสามารถในด้านของจิตวิทยาการอ่านใจนักเล่นหุ้นในตลาดได้ดีกว่าคนอื่น นอกจากการอ่านเกมออกแล้วพวกเขายังน่าจะมีความสามารถในการจูงใจให้คนอื่นเล่นตามด้วย และนี่อาจจะเป็นศาสตร์ที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จสูงมากในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย
ทั้งหมดนั้นก็คือหนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน 4 แบบ นักลงทุนแต่ละคนต้องเลือกว่าวิธีไหนที่เราชอบและมีศักยภาพที่สามารถทำได้ การค้นหาตัวตนก่อนที่จะเลือกเดินทางนั้นสำคัญมาก เลือกถูกก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เลือกผิดเราอาจจะพบกับความผิดหวังหรือหายนะ สำหรับคน “กลาง ๆ” ผมแนะนำว่าแนวทางของการใช้ EQ เป็นหลักในการลงทุนเป็นวิถีทางที่น่าสนใจ และย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเลือกแนวไหน เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทุกทางด้วยมิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
Sunday, March 8, 2009
Money Pro : บริหารหนี้สินวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
ช่วงนี้มีการขอคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินส่วนบุคคลมากมาย ดิฉันจึงคิดว่าหัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านด้วย จึงอยากหยิบยกมาเขียนในสัปดาห์นี้ค่ะ
“ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่สามารถใช้เงินออมของเราได้ตลอดเวลา ในบางครั้งเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก้อนที่ใหญ่กว่าเงินออมที่เรามี ซึ่งก็แน่นอนว่า เราต้องไปหยิบยืม หรือกู้จากผู้อื่น
จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนี้สินของครัวเรือนไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นไปเป็น 27.88% ของ จีดีพี หรือเท่ากับแต่ละครัวเรือนมีหนี้ 143,476.30 บาท หนี้ส่วนนี้จะมากหรือน้อย คิดจากอะไร? คำตอบในมุมมองของแต่ละครัวเรือนก็ต้องเทียบกับรายได้ค่ะ จากการสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2550 รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 18,660 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับ 223,920 บาทต่อปี
ถ้าคิดว่าในช่วงปี 2551 มีการเติบโตประมาณ 4% ก็จะทำให้รายได้ครัวเรือนในปี 2551 อยู่ที่ประมาณ 232,876 บาทต่อปี ดังนั้น หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 143,476.30 บาท จึงคิดเป็น 61.6% ของรายได้ต่อปี
ซึ่งถ้าถามว่าสูงหรือไม่ ก็ต้องตอบแนวเปรียบเทียบค่ะ ยังไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มีหนี้สินครัวเรือนประมาณ 136% ของรายได้ต่อปี ญี่ปุ่นประมาณ 130% เกาหลีใต้ประมาณ 148% เป็นต้น
แต่ปัญหาคือการกระจายตัวค่ะ ผู้มีรายได้สูงส่วนใหญ่จะไม่มีหนี้สินในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่สูงจะมีหนี้สินมาก เพราะฉะนั้น หนี้สินในครัวเรือนระดับกลางๆ อาจจะมีสัดส่วนถึง 200% ของรายได้ครัวเรือนมีหนี้สินจำนวนเท่าใด จึงจะไม่ทำให้เดือดร้อน อันนี้ตอบยากมาก เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับค่าใช้จ่ายครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ฯลฯ เอาเป็นว่าขอเสนอแนะแนวทางเพื่อให้ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ หรือนำไปแนะนำให้คนในครอบครัวปฏิบัติก็แล้วกันนะคะ
ขั้นแรก ก่อนที่จะบริหารหนี้ของครัวเรือน ท่านต้องมีข้อมูลเรื่องรายรับและรายจ่ายของครัวเรือน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่หลายๆ ครัวเรือนก็ไม่เคยทราบว่ามีรายได้ หรือรายจ่ายรวมเท่าไหร่ ถ้าท่านมีรายการมากมาย ท่านอาจต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย ธนาคารกสิกรไทยมีแจกแผ่นซีดีบันทึกข้อมูลให้ค่ะ สอบถามได้
โดยทั่วไป รายจ่ายไม่ควรเกินรายรับ ถ้าท่านมีหนี้สินด้วย เงินผ่อนชำระหนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเงินสดจ่าย แต่ไม่ใช่รายจ่ายทั้งหมด ส่วนที่ถือเป็นรายจ่ายคือดอกเบี้ย สำหรับส่วนที่ผ่อนเงินต้นนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านกู้ยืมไปใช้อะไร ถ้ากู้ไปซื้อบ้านหรือลงทุน ส่วนนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน แต่ถ้ากู้ไปใช้จ่าย เงินต้นที่จ่ายคืน จะถือเป็นรายจ่ายด้วยค่ะ
ถ้าท่านมีรายจ่ายและค่าผ่อนหนี้เกินกว่ารายรับที่มี ท่านต้องบริหารรายรับโดยการหารายได้เพิ่มเติม หรือบริหารรายจ่าย โดยการลดการใช้จ่ายลงก่อน
ขั้นที่สอง ท่านต้องสำรวจหนี้สินทั้งหมด โดยต้องมีข้อมูลทั้งจำนวนเงินกู้ยืมตั้งต้น จำนวนหนี้คงค้างอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการกู้ยืม เงื่อนไขการปรับกรณีผิดนัดชำระ เงื่อนไขการปรับกรณีจ่ายชำระคืนก่อนกำหนด หลักประกันที่ให้ไว้กับเจ้าหนี้ ฯลฯ
ขั้นที่สาม ประเมินความสามารถในการชำระคืนของตนเอง โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับไม่เกิน 35%ของรายได้ ถ้าท่านรวมแล้วภาระในการผ่อนชำระของท่านสูงเกินกว่า 50% ของรายได้ ท่านเสี่ยงต่อการเป็นหนี้อย่างถาวร คืออาจจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการมีหนี้ได้ ท่านต้องหาที่ปรึกษาอย่างรวดเร็ว
ยกเว้นในกรณีที่รายได้ของท่านสูงมาก และรายจ่ายของท่านอยู่ในระดับปกติ (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏ) เช่น ท่านมีรายได้สุทธิหลังหักภาษี 200,000 บาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อเดือน อย่างนี้ท่านก็สามารถจ่ายชำระหนี้ได้เดือนละ 150,000 บาท แต่ต้องแน่ใจนะคะว่าภาษีที่หักไว้นั้นหักครบถ้วน หากหักน้อยไป ท่านอาจจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในเดือนมีนาคม ที่ต้องยื่นชำระภาษีเงินได้เป็นเดือนสุดท้าย
ขั้นที่สี่ ชำระหนี้คืนเพิ่ม หากประเมินแล้ว มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มขึ้น ให้เลือกชำระคืนหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงก่อน แล้วค่อยเรียงลำดับไล่มาค่ะ หากไม่มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มก็ข้ามไปขั้นที่ห้า
ขั้นที่ห้า จัดการกับหนี้สิน คำว่าจัดการในที่นี้หมายถึง ยุบ (จ่ายคืนให้หมด) ย้าย (refinance) รวม เจรจา จะเลือกใช้วิธีไหนก็แล้วแต่กรณีค่ะ ขอยกตัวอย่างบางกรณีที่อาจเป็นประโยชน์
- สินเชื่อที่มีหลักประกันมักจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่ไม่มีหลักประกัน ถ้าท่านมีวงเงินเหลือ เช่นผ่อนบ้านไปพักหนึ่ง อยากต่อเติมบ้านเพิ่ม ท่านอาจไปขอเพิ่มวงเงินกู้ในส่วนที่ท่านผ่อนไปแล้วได้ อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าใช้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต่ำกว่าค่ะ แต่อาจจะมีเงื่อนไขประเภทการนำไปใช้นะคะ จะกู้เพิ่มเอาไปเที่ยว ธนาคารคงไม่ยอม
- ในบางช่วงธนาคารจะมีข้อเสนอให้ย้ายวงเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ท่านอาจพิจารณาย้ายวงเงินได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขให้ดีด้วยนะคะว่าท่านสามารถทำตามเงื่อนไขได้หรือไม่
- หากมีหนี้นอกระบบ พยายามนำเข้ามาในระบบ ส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาไม่ได้ เพราะไม่มีหลักประกันหรือรายได้ไม่แน่นอน ให้ลองดูว่าข้อเสนอใหม่ๆ ของธนาคารภาครัฐ บางครั้งอาจมีข้อเสนอที่เหมาะสมกับท่าน
- อย่ากู้ใหม่มาจ่ายชำระหนี้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง refinance ซึ่งคือการย้ายไปกู้สถาบันใหม่นะคะ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่วงเงินทางนี้เต็ม ก็เลยไปเปิดอีกวงเงินหนึ่ง เพื่อเอามาผ่อนชำระขั้นต่ำ ก็เลยเกิดดอกเบี้ยของดอกเบี้ย อย่างนี้ท่านจะเสี่ยงต่อการไม่สามารถหลุดออกจากวังวนของหนี้ได้
- ไม่เก้อเขินหรือเหนียมอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด บางครั้งปัญหาหนี้อาจเป็นปัญหาหนักมากสำหรับเรา ถ้าเราแก้เองอาจจะวนเวียนไม่สิ้นสุด ลองเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ แล้วย้ายมาเป็นลูกหนี้ท่านเหล่านี้แทน ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือไม่คิดดอกเบี้ย ไม่แปลกที่จะลองขอดู และถ้าถูกปฏิเสธก็ต้องเข้าใจ ไม่โกรธแค้น ผู้ใหญ่บางท่านจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการให้คนอื่นกู้ยืมเงิน เราต้องพยายามเข้าใจท่านด้วย
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการบริหารหนี้ค่ะ
“ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” เป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่สามารถใช้เงินออมของเราได้ตลอดเวลา ในบางครั้งเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก้อนที่ใหญ่กว่าเงินออมที่เรามี ซึ่งก็แน่นอนว่า เราต้องไปหยิบยืม หรือกู้จากผู้อื่น
จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนี้สินของครัวเรือนไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นไปเป็น 27.88% ของ จีดีพี หรือเท่ากับแต่ละครัวเรือนมีหนี้ 143,476.30 บาท หนี้ส่วนนี้จะมากหรือน้อย คิดจากอะไร? คำตอบในมุมมองของแต่ละครัวเรือนก็ต้องเทียบกับรายได้ค่ะ จากการสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2550 รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 18,660 บาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับ 223,920 บาทต่อปี
ถ้าคิดว่าในช่วงปี 2551 มีการเติบโตประมาณ 4% ก็จะทำให้รายได้ครัวเรือนในปี 2551 อยู่ที่ประมาณ 232,876 บาทต่อปี ดังนั้น หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 143,476.30 บาท จึงคิดเป็น 61.6% ของรายได้ต่อปี
ซึ่งถ้าถามว่าสูงหรือไม่ ก็ต้องตอบแนวเปรียบเทียบค่ะ ยังไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มีหนี้สินครัวเรือนประมาณ 136% ของรายได้ต่อปี ญี่ปุ่นประมาณ 130% เกาหลีใต้ประมาณ 148% เป็นต้น
แต่ปัญหาคือการกระจายตัวค่ะ ผู้มีรายได้สูงส่วนใหญ่จะไม่มีหนี้สินในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่สูงจะมีหนี้สินมาก เพราะฉะนั้น หนี้สินในครัวเรือนระดับกลางๆ อาจจะมีสัดส่วนถึง 200% ของรายได้ครัวเรือนมีหนี้สินจำนวนเท่าใด จึงจะไม่ทำให้เดือดร้อน อันนี้ตอบยากมาก เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับค่าใช้จ่ายครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ฯลฯ เอาเป็นว่าขอเสนอแนะแนวทางเพื่อให้ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ หรือนำไปแนะนำให้คนในครอบครัวปฏิบัติก็แล้วกันนะคะ
ขั้นแรก ก่อนที่จะบริหารหนี้ของครัวเรือน ท่านต้องมีข้อมูลเรื่องรายรับและรายจ่ายของครัวเรือน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่หลายๆ ครัวเรือนก็ไม่เคยทราบว่ามีรายได้ หรือรายจ่ายรวมเท่าไหร่ ถ้าท่านมีรายการมากมาย ท่านอาจต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย ธนาคารกสิกรไทยมีแจกแผ่นซีดีบันทึกข้อมูลให้ค่ะ สอบถามได้
โดยทั่วไป รายจ่ายไม่ควรเกินรายรับ ถ้าท่านมีหนี้สินด้วย เงินผ่อนชำระหนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเงินสดจ่าย แต่ไม่ใช่รายจ่ายทั้งหมด ส่วนที่ถือเป็นรายจ่ายคือดอกเบี้ย สำหรับส่วนที่ผ่อนเงินต้นนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านกู้ยืมไปใช้อะไร ถ้ากู้ไปซื้อบ้านหรือลงทุน ส่วนนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน แต่ถ้ากู้ไปใช้จ่าย เงินต้นที่จ่ายคืน จะถือเป็นรายจ่ายด้วยค่ะ
ถ้าท่านมีรายจ่ายและค่าผ่อนหนี้เกินกว่ารายรับที่มี ท่านต้องบริหารรายรับโดยการหารายได้เพิ่มเติม หรือบริหารรายจ่าย โดยการลดการใช้จ่ายลงก่อน
ขั้นที่สอง ท่านต้องสำรวจหนี้สินทั้งหมด โดยต้องมีข้อมูลทั้งจำนวนเงินกู้ยืมตั้งต้น จำนวนหนี้คงค้างอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการกู้ยืม เงื่อนไขการปรับกรณีผิดนัดชำระ เงื่อนไขการปรับกรณีจ่ายชำระคืนก่อนกำหนด หลักประกันที่ให้ไว้กับเจ้าหนี้ ฯลฯ
ขั้นที่สาม ประเมินความสามารถในการชำระคืนของตนเอง โดยทั่วไปจะอยู่ในระดับไม่เกิน 35%ของรายได้ ถ้าท่านรวมแล้วภาระในการผ่อนชำระของท่านสูงเกินกว่า 50% ของรายได้ ท่านเสี่ยงต่อการเป็นหนี้อย่างถาวร คืออาจจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรการมีหนี้ได้ ท่านต้องหาที่ปรึกษาอย่างรวดเร็ว
ยกเว้นในกรณีที่รายได้ของท่านสูงมาก และรายจ่ายของท่านอยู่ในระดับปกติ (ซึ่งไม่ค่อยปรากฏ) เช่น ท่านมีรายได้สุทธิหลังหักภาษี 200,000 บาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อเดือน อย่างนี้ท่านก็สามารถจ่ายชำระหนี้ได้เดือนละ 150,000 บาท แต่ต้องแน่ใจนะคะว่าภาษีที่หักไว้นั้นหักครบถ้วน หากหักน้อยไป ท่านอาจจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในเดือนมีนาคม ที่ต้องยื่นชำระภาษีเงินได้เป็นเดือนสุดท้าย
ขั้นที่สี่ ชำระหนี้คืนเพิ่ม หากประเมินแล้ว มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มขึ้น ให้เลือกชำระคืนหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงก่อน แล้วค่อยเรียงลำดับไล่มาค่ะ หากไม่มีความสามารถในการชำระคืนเพิ่มก็ข้ามไปขั้นที่ห้า
ขั้นที่ห้า จัดการกับหนี้สิน คำว่าจัดการในที่นี้หมายถึง ยุบ (จ่ายคืนให้หมด) ย้าย (refinance) รวม เจรจา จะเลือกใช้วิธีไหนก็แล้วแต่กรณีค่ะ ขอยกตัวอย่างบางกรณีที่อาจเป็นประโยชน์
- สินเชื่อที่มีหลักประกันมักจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่ไม่มีหลักประกัน ถ้าท่านมีวงเงินเหลือ เช่นผ่อนบ้านไปพักหนึ่ง อยากต่อเติมบ้านเพิ่ม ท่านอาจไปขอเพิ่มวงเงินกู้ในส่วนที่ท่านผ่อนไปแล้วได้ อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าใช้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต่ำกว่าค่ะ แต่อาจจะมีเงื่อนไขประเภทการนำไปใช้นะคะ จะกู้เพิ่มเอาไปเที่ยว ธนาคารคงไม่ยอม
- ในบางช่วงธนาคารจะมีข้อเสนอให้ย้ายวงเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ท่านอาจพิจารณาย้ายวงเงินได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขให้ดีด้วยนะคะว่าท่านสามารถทำตามเงื่อนไขได้หรือไม่
- หากมีหนี้นอกระบบ พยายามนำเข้ามาในระบบ ส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาไม่ได้ เพราะไม่มีหลักประกันหรือรายได้ไม่แน่นอน ให้ลองดูว่าข้อเสนอใหม่ๆ ของธนาคารภาครัฐ บางครั้งอาจมีข้อเสนอที่เหมาะสมกับท่าน
- อย่ากู้ใหม่มาจ่ายชำระหนี้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง refinance ซึ่งคือการย้ายไปกู้สถาบันใหม่นะคะ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่วงเงินทางนี้เต็ม ก็เลยไปเปิดอีกวงเงินหนึ่ง เพื่อเอามาผ่อนชำระขั้นต่ำ ก็เลยเกิดดอกเบี้ยของดอกเบี้ย อย่างนี้ท่านจะเสี่ยงต่อการไม่สามารถหลุดออกจากวังวนของหนี้ได้
- ไม่เก้อเขินหรือเหนียมอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด บางครั้งปัญหาหนี้อาจเป็นปัญหาหนักมากสำหรับเรา ถ้าเราแก้เองอาจจะวนเวียนไม่สิ้นสุด ลองเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ แล้วย้ายมาเป็นลูกหนี้ท่านเหล่านี้แทน ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง หรือไม่คิดดอกเบี้ย ไม่แปลกที่จะลองขอดู และถ้าถูกปฏิเสธก็ต้องเข้าใจ ไม่โกรธแค้น ผู้ใหญ่บางท่านจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการให้คนอื่นกู้ยืมเงิน เราต้องพยายามเข้าใจท่านด้วย
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการบริหารหนี้ค่ะ
Monday, March 2, 2009
โจเซฟ สติกลิตซ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจไทยโดย
: สุรัชฎา สว่างเนตร เรียบเรียง
โจเซฟ สติกลิตซ์ กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากที่ถกเรื่องเศรษฐกิจกันอย่างถูกคอจากการพบปะกันในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และนักเศรษฐศาตร์รางวัลโนเบล ปี 2001 เจ้าของ "ทฤษฎีข้อมูลที่ไม่สมมาตรกัน" (Theory of information Asymmetry) ซึ่งส่งผลให้ตลาดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโดยเป็นที่ปรึกษาที่รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายค่าตัวใดใดทั้งสิ้นเพราะการให้คำปรึกษาครั้งนี้ของสติกลิตซ์ เป็นการ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" กับทาง อภิสิทธิ์ และรัฐบาลไทย เนื่องจากทั้งสองมีมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน
สำหรับคนไทยที่ไม่ได้ข้องแวะกับเรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก ชื่อของสติกลิตซ์ อาจไม่คุ้นหูเท่ากับไมเคิล อี พอตเตอร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศไทยในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หรือพอล ครุกแมน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Princeton ที่เป็นขาประจำของรัฐบาลจอร์จ บุช
สติกลิตซ์เป็นนักเศรษฐศาสตร์สาย Neo - Keynesian ที่เชื่อในกลไลตลาด และการแทรกแซงของภาครัฐด้วยการใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน ที่พวกกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกาชื่นชมในตัวเขา โดยเป็นอดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของ ประธานาธิบดีบิล คลินตัน และอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก
เขาเกิดที่มลรัฐอินเดียนาเมื่อปี 1943 และปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ Global Thought ของมหาวิทยาลัย ในยุครัฐบาลบิล คลินตัน เขาเป็นสมาชิกของสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ และต่อมาเป็นประธานของสภานี้ในช่วงปี 1993- 1997 จากนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าเศรษฐกรและรองประธานอาวุโสของธนาคารโลกในช่วงปี1997-2000
สติกลิตซ์ ได้เผยแพร่แนวคิดของเขาผ่านหนังสือ Globalization and Its Discontents และ Making Globalization Work ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง โดย Globalization and Its Discontents หรือวิจารณ์การทำงานของไอเอ็มเอฟในปี 2540 ว่า เป็นการทำงานที่ล้มเหลว และเป็นต้นกำเนิดของความยากจนไม่รู้จบ
Making Globalization Work เป็นภาคต่อของเล่มแรกที่นำเสนอการใช้กระบวนการโลกาภิวัตน์เพื่อปรับปรุงระบบการเงิน การค้า และการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมโลก
ล่าสุด The Three Trillion Dollar War เพิ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาวิเคราะห์วิจารณ์ต้นทุนของสงครามอิรัก ซึ่งมิได้เป็นภาระเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นภาระของโลกด้วย รวมทั้งเสนอยุทธศาสตร์การถอนทหารอเมริกันออกจากอิรัก
ชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งของสติกลิตซ์ คือ การต่อต้านทุนนิยม
เขาไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมแบบเดิม และการค้าเสรีแบบสุดขั้ว แต่ก็ไม่ใช่จะปฏิเสธเสียทั้งหมด
ตามความคิดของสติกลิตซ์ ทุนนิยมมี "ข้อบกพร่อง" ของระบบที่ต้องทำการแก้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรกำจัดทุนนิยมทิ้งไป เพราะทุนนิยมก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการให้ความมั่งคั่งกับคนที่ไร้โอกาส แต่ต้องหาวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของตลาดให้ได้
ท่ามกลางความตระหนกของผู้คนหลังจากมูดี้ส์ออกมาประกาศว่า เศรษฐกิจไทยจะแย่สุดในภูมิภาคเอเชีย แต่เสียงชื่นชมของสติกลิทซ์ที่มีต่อรัฐบาลไทยบนเวที World Economic Forum จนถึงกับออกปากชมแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย พร้อมกับกล่าวเตือนในเรื่องการปฏิบัติ จนนำมาซึ่งการตอบรับเป็นกุนซือทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลไทยในครั้งนี้ น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาได้บ้าง
โจเซฟ สติกลิตซ์ กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากที่ถกเรื่องเศรษฐกิจกันอย่างถูกคอจากการพบปะกันในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และนักเศรษฐศาตร์รางวัลโนเบล ปี 2001 เจ้าของ "ทฤษฎีข้อมูลที่ไม่สมมาตรกัน" (Theory of information Asymmetry) ซึ่งส่งผลให้ตลาดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับคำเชิญเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโดยเป็นที่ปรึกษาที่รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายค่าตัวใดใดทั้งสิ้นเพราะการให้คำปรึกษาครั้งนี้ของสติกลิตซ์ เป็นการ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" กับทาง อภิสิทธิ์ และรัฐบาลไทย เนื่องจากทั้งสองมีมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน
สำหรับคนไทยที่ไม่ได้ข้องแวะกับเรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก ชื่อของสติกลิตซ์ อาจไม่คุ้นหูเท่ากับไมเคิล อี พอตเตอร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาการพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศไทยในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หรือพอล ครุกแมน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Princeton ที่เป็นขาประจำของรัฐบาลจอร์จ บุช
สติกลิตซ์เป็นนักเศรษฐศาสตร์สาย Neo - Keynesian ที่เชื่อในกลไลตลาด และการแทรกแซงของภาครัฐด้วยการใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน ที่พวกกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกาชื่นชมในตัวเขา โดยเป็นอดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของ ประธานาธิบดีบิล คลินตัน และอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก
เขาเกิดที่มลรัฐอินเดียนาเมื่อปี 1943 และปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ Global Thought ของมหาวิทยาลัย ในยุครัฐบาลบิล คลินตัน เขาเป็นสมาชิกของสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ และต่อมาเป็นประธานของสภานี้ในช่วงปี 1993- 1997 จากนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าเศรษฐกรและรองประธานอาวุโสของธนาคารโลกในช่วงปี1997-2000
สติกลิตซ์ ได้เผยแพร่แนวคิดของเขาผ่านหนังสือ Globalization and Its Discontents และ Making Globalization Work ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง โดย Globalization and Its Discontents หรือวิจารณ์การทำงานของไอเอ็มเอฟในปี 2540 ว่า เป็นการทำงานที่ล้มเหลว และเป็นต้นกำเนิดของความยากจนไม่รู้จบ
Making Globalization Work เป็นภาคต่อของเล่มแรกที่นำเสนอการใช้กระบวนการโลกาภิวัตน์เพื่อปรับปรุงระบบการเงิน การค้า และการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมโลก
ล่าสุด The Three Trillion Dollar War เพิ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาวิเคราะห์วิจารณ์ต้นทุนของสงครามอิรัก ซึ่งมิได้เป็นภาระเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นภาระของโลกด้วย รวมทั้งเสนอยุทธศาสตร์การถอนทหารอเมริกันออกจากอิรัก
ชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งของสติกลิตซ์ คือ การต่อต้านทุนนิยม
เขาไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมแบบเดิม และการค้าเสรีแบบสุดขั้ว แต่ก็ไม่ใช่จะปฏิเสธเสียทั้งหมด
ตามความคิดของสติกลิตซ์ ทุนนิยมมี "ข้อบกพร่อง" ของระบบที่ต้องทำการแก้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรกำจัดทุนนิยมทิ้งไป เพราะทุนนิยมก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการให้ความมั่งคั่งกับคนที่ไร้โอกาส แต่ต้องหาวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของตลาดให้ได้
ท่ามกลางความตระหนกของผู้คนหลังจากมูดี้ส์ออกมาประกาศว่า เศรษฐกิจไทยจะแย่สุดในภูมิภาคเอเชีย แต่เสียงชื่นชมของสติกลิทซ์ที่มีต่อรัฐบาลไทยบนเวที World Economic Forum จนถึงกับออกปากชมแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย พร้อมกับกล่าวเตือนในเรื่องการปฏิบัติ จนนำมาซึ่งการตอบรับเป็นกุนซือทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลไทยในครั้งนี้ น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาได้บ้าง
โลกในมุมมองของ Value Investor : Perfect Storm-Perfect Stock
ข่าวร้ายในตลาดสำหรับคนเล่นหุ้นแล้ว มันคือเวลาของการขายหุ้น ยิ่งร้ายเท่าไรก็ต้องรีบขายเร็วเท่านั้น ผลของการขายทำให้ราคาหุ้นที่เจอกับข่าวร้ายตกลงมาอย่างหนัก หลายๆ ครั้งหนักเกินความเป็นจริง และนั่นคือโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาเก็บหุ้น
ประเด็นสำคัญ คือ คุณจะต้องมั่นใจจริงๆ ว่า ข่าวร้ายนั้น เป็นเรื่องชั่วคราว มันไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป และไม่ช้าก็เร็วบริษัทก็จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างที่มันเคยเป็น และด้วยราคาหุ้นที่ตกลงมามาก การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน 3-5 ปีข้างหน้า
ข่าวร้ายในตลาดที่ส่งผลต่อหุ้นอย่างแรง อาจแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกันคือ
หนึ่ง ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจ หรือตลาด ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิด Panic หรือตกใจ เกิดการขายหุ้นทั่วทั้งตลาด สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นจากภาวะการเงินหรือเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลอย่างแรง เช่น เกิดภาวะเงินตึงตัว เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูง หรือการที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ข่าวร้ายประเภทนี้ มักทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดตกลง แม้ว่าหุ้นบางตัว หรือบางกลุ่ม อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือถูกกระทบน้อย หน้าที่ของ Value Investor ก็คือ มองหาหุ้นที่ถูกกระทบน้อยแต่ราคาหุ้นตกลงมามากพอๆ กับดัชนีตลาดที่ประมาณ 50% นับตั้งแต่เกิดวิกฤติ
ข่าวร้ายแบบที่สอง ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม ความตกต่ำ หรือถดถอยของอุตสาหกรรมทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง หรืออ่อนแอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่แข็งแกร่งจะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม ในขณะที่บริษัทที่อ่อนแอจะล้มหายตายจาก หรือลดระดับของการดำเนินงานลง กระบวนการนี้ อาจจะใช้เวลาบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม หน้าที่ของเรา คือ ต้องวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมจะใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ ต้องหาว่าบริษัทไหนจะถูกกระทบน้อย และกลับมายิ่งใหญ่และทำกำไรได้มากแค่ไหน เมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว
ข่าวร้ายแบบสุดท้าย ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง นี่คือข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบริษัทเองที่อาจจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือถูกกระทบโดยความโชคร้าย แต่ความผิดพลาดนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องชั่วคราวที่บริษัทน่าจะแก้ไขได้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นักลงทุนมักจะเทขายหุ้นกันอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นตกลงมามาก อย่างที่ "ไม่เคยปรากฏ" มาก่อน
หน้าที่ของ VI ก็คือ พิจารณาว่า เหตุการณ์นั้น ไม่ได้กระทบกับธุรกิจหลักของบริษัท ที่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเหตุการณ์ชั่วคราวผ่านพ้นไป หรือบริษัทได้แก้ไขไปแล้ว และราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น จะทำให้การลงทุนของเราให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือ อย่างน้อยถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไว้ 5 ปี ราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากราคาที่เราซื้อ
หุ้นที่เราจะซื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เราต้องมั่นใจว่ามันจะต้อง "ฝ่าวิกฤติ" ไปได้ไม่ว่าจะด้วยอะไร เช่น เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีมีเงินสดมาก และมีหนี้น้อย เป็นกิจการที่จำเป็นและมีผู้ให้บริการที่จำกัด เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งสนับสนุนอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง หรือแม้แต่เป็นกิจการที่ "ใหญ่เกินไปที่จะล้ม" นี่จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า เหตุร้ายแรงที่อาจจะดำเนินไปหลายปีนั้น ไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลายไปก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัว
บางที สำหรับบางบริษัท ข่าวร้ายนั้นเกิดเป็นชุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น โอกาสที่บริษัทจะเจอ "2 เด้ง" คือ ภาวะตลาดแพนิค และภาวะอุตสาหกรรมตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกันมีสูง บางครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก บางบริษัทอาจจะเจอกับข่าวร้ายทั้งด้านของภาวะตลาดหุ้น ภาวะอุตสาหกรรม และบริษัทเองก็เจอกับข่าวร้ายเฉพาะตัวเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ก็คือ บริษัทประสบกับ "Perfect Storm" ความร้ายแรงประดังกันเข้ามาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญขนาดนั้น หุ้นที่ประสบกับข่าวร้ายมาก ๆ หลายเรื่องหรือทุกเรื่องอย่างหุ้น Perfect Storm นั้น ราคาหุ้นจะตกลงไปมากจนแทบจะไม่เหลือค่าเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่อาจจะไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะไปรอดหรือไม่ หรือรอดได้แต่ก็ไม่กลับมาเป็นอย่างเดิม หรือรอดและกลับมาทำกำไรได้ แต่ต้องมีการเพิ่มทุนมหาศาล ซึ่งทำลายมูลค่าหรือความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด ถ้าเป็นแบบนั้น การลงทุนในหุ้น Perfect Storm ก็จะเป็นความเสี่ยงมหาศาล
ตรงกันข้าม ถ้าเราเจอหุ้น Perfect Storm และราคาหุ้นสะท้อนข่าวนั้นแล้ว โดยที่ราคาตกลงไปต่ำกว่าที่เคยเป็นในภาวะปกติมาก ในขณะเดียวกัน พื้นฐานของกิจการของบริษัทไม่เปลี่ยน และเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการตลาดมาก ประกอบกับความเชื่อมั่นว่า บริษัทจะไม่ล้มละลายและไม่ต้องเพิ่มทุนมหาศาล และสุดท้าย เราเชื่อว่าข่าวร้ายทุกอย่าง จะต้องหมดไปเมื่อเวลาผ่านไป 3-5 ปี และเมื่อนั้นกิจการของบริษัทก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่ข่าวร้ายจะเกิดขึ้น
ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทุนในหุ้น Perfect Storm อาจจะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติและหุ้นนั้นกลายเป็น "Perfect Stock" หรือเป็นโอกาสทองของการลงทุนในหุ้นตัวนั้น
แน่นอน การลงทุนในหุ้นที่มีข่าวร้ายมากๆ ย่อมมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในระยะสั้นเพียงปี หรือสองปี คนที่สามารถลงทุนในหุ้นแบบนี้ จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงมาก นั่นคือ จะต้องทนดูหุ้นที่อาจจะตกลงไปต่ออีกมากได้ หรือต้องสามารถถือหุ้นที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเวลานานพร้อมๆ กับผลการดำเนินงาน ที่อาจจะไม่น่าประทับใจของบริษัท และถ้าทนไม่ได้ขายหุ้นทิ้งก่อนที่หุ้นจะฟื้น
การขาดทุนจะกลายเป็นเรื่อง "ฝันร้าย" ที่จะต้องจดจำไปอีกนาน แต่ถ้าคิดถูกต้อง และมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ นี่คือ Perfect Stock ที่เราจะไม่ลืมเลย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ประเด็นสำคัญ คือ คุณจะต้องมั่นใจจริงๆ ว่า ข่าวร้ายนั้น เป็นเรื่องชั่วคราว มันไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป และไม่ช้าก็เร็วบริษัทก็จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างที่มันเคยเป็น และด้วยราคาหุ้นที่ตกลงมามาก การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน 3-5 ปีข้างหน้า
ข่าวร้ายในตลาดที่ส่งผลต่อหุ้นอย่างแรง อาจแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกันคือ
หนึ่ง ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจ หรือตลาด ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิด Panic หรือตกใจ เกิดการขายหุ้นทั่วทั้งตลาด สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นจากภาวะการเงินหรือเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลอย่างแรง เช่น เกิดภาวะเงินตึงตัว เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูง หรือการที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ข่าวร้ายประเภทนี้ มักทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดตกลง แม้ว่าหุ้นบางตัว หรือบางกลุ่ม อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือถูกกระทบน้อย หน้าที่ของ Value Investor ก็คือ มองหาหุ้นที่ถูกกระทบน้อยแต่ราคาหุ้นตกลงมามากพอๆ กับดัชนีตลาดที่ประมาณ 50% นับตั้งแต่เกิดวิกฤติ
ข่าวร้ายแบบที่สอง ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม ความตกต่ำ หรือถดถอยของอุตสาหกรรมทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง หรืออ่อนแอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่แข็งแกร่งจะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม ในขณะที่บริษัทที่อ่อนแอจะล้มหายตายจาก หรือลดระดับของการดำเนินงานลง กระบวนการนี้ อาจจะใช้เวลาบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม หน้าที่ของเรา คือ ต้องวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมจะใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ ต้องหาว่าบริษัทไหนจะถูกกระทบน้อย และกลับมายิ่งใหญ่และทำกำไรได้มากแค่ไหน เมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว
ข่าวร้ายแบบสุดท้าย ก็คือ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง นี่คือข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบริษัทเองที่อาจจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือถูกกระทบโดยความโชคร้าย แต่ความผิดพลาดนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องชั่วคราวที่บริษัทน่าจะแก้ไขได้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นักลงทุนมักจะเทขายหุ้นกันอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นตกลงมามาก อย่างที่ "ไม่เคยปรากฏ" มาก่อน
หน้าที่ของ VI ก็คือ พิจารณาว่า เหตุการณ์นั้น ไม่ได้กระทบกับธุรกิจหลักของบริษัท ที่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเหตุการณ์ชั่วคราวผ่านพ้นไป หรือบริษัทได้แก้ไขไปแล้ว และราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น จะทำให้การลงทุนของเราให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือ อย่างน้อยถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไว้ 5 ปี ราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากราคาที่เราซื้อ
หุ้นที่เราจะซื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เราต้องมั่นใจว่ามันจะต้อง "ฝ่าวิกฤติ" ไปได้ไม่ว่าจะด้วยอะไร เช่น เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีมีเงินสดมาก และมีหนี้น้อย เป็นกิจการที่จำเป็นและมีผู้ให้บริการที่จำกัด เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งสนับสนุนอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง หรือแม้แต่เป็นกิจการที่ "ใหญ่เกินไปที่จะล้ม" นี่จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า เหตุร้ายแรงที่อาจจะดำเนินไปหลายปีนั้น ไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลายไปก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัว
บางที สำหรับบางบริษัท ข่าวร้ายนั้นเกิดเป็นชุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น โอกาสที่บริษัทจะเจอ "2 เด้ง" คือ ภาวะตลาดแพนิค และภาวะอุตสาหกรรมตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกันมีสูง บางครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก บางบริษัทอาจจะเจอกับข่าวร้ายทั้งด้านของภาวะตลาดหุ้น ภาวะอุตสาหกรรม และบริษัทเองก็เจอกับข่าวร้ายเฉพาะตัวเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ก็คือ บริษัทประสบกับ "Perfect Storm" ความร้ายแรงประดังกันเข้ามาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญขนาดนั้น หุ้นที่ประสบกับข่าวร้ายมาก ๆ หลายเรื่องหรือทุกเรื่องอย่างหุ้น Perfect Storm นั้น ราคาหุ้นจะตกลงไปมากจนแทบจะไม่เหลือค่าเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่อาจจะไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะไปรอดหรือไม่ หรือรอดได้แต่ก็ไม่กลับมาเป็นอย่างเดิม หรือรอดและกลับมาทำกำไรได้ แต่ต้องมีการเพิ่มทุนมหาศาล ซึ่งทำลายมูลค่าหรือความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด ถ้าเป็นแบบนั้น การลงทุนในหุ้น Perfect Storm ก็จะเป็นความเสี่ยงมหาศาล
ตรงกันข้าม ถ้าเราเจอหุ้น Perfect Storm และราคาหุ้นสะท้อนข่าวนั้นแล้ว โดยที่ราคาตกลงไปต่ำกว่าที่เคยเป็นในภาวะปกติมาก ในขณะเดียวกัน พื้นฐานของกิจการของบริษัทไม่เปลี่ยน และเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการตลาดมาก ประกอบกับความเชื่อมั่นว่า บริษัทจะไม่ล้มละลายและไม่ต้องเพิ่มทุนมหาศาล และสุดท้าย เราเชื่อว่าข่าวร้ายทุกอย่าง จะต้องหมดไปเมื่อเวลาผ่านไป 3-5 ปี และเมื่อนั้นกิจการของบริษัทก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่ข่าวร้ายจะเกิดขึ้น
ในสถานการณ์แบบนี้ การลงทุนในหุ้น Perfect Storm อาจจะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติและหุ้นนั้นกลายเป็น "Perfect Stock" หรือเป็นโอกาสทองของการลงทุนในหุ้นตัวนั้น
แน่นอน การลงทุนในหุ้นที่มีข่าวร้ายมากๆ ย่อมมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในระยะสั้นเพียงปี หรือสองปี คนที่สามารถลงทุนในหุ้นแบบนี้ จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงมาก นั่นคือ จะต้องทนดูหุ้นที่อาจจะตกลงไปต่ออีกมากได้ หรือต้องสามารถถือหุ้นที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเวลานานพร้อมๆ กับผลการดำเนินงาน ที่อาจจะไม่น่าประทับใจของบริษัท และถ้าทนไม่ได้ขายหุ้นทิ้งก่อนที่หุ้นจะฟื้น
การขาดทุนจะกลายเป็นเรื่อง "ฝันร้าย" ที่จะต้องจดจำไปอีกนาน แต่ถ้าคิดถูกต้อง และมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ นี่คือ Perfect Stock ที่เราจะไม่ลืมเลย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Sunday, March 1, 2009
สัมภาษณ์พิเศษ : "สวัสดิ์"เตือนรุ่นน้อง อย่าทิ้งความหวัง จงสู้เพื่ออยู่รอด
ฐานะของ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ในวันนี้ เป็นบุคคลล้มละลายทั้งด้านการเงินและการเมือง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ก้มหัวให้กับชะตากรรมตรงหน้า พร้อมเตือนนักธุรกิจรุ่นน้องลุกขึ้นสู้เพื่อฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ให้ได้
แม้จะถูกคำสั่งศาลล้มละลายให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็ก เจ้าของสมญานาม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อันลือลั่นสะท้านวงการการเงินเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ยังมีความภูมิใจเหลืออยู่ ที่สามารถนำพาธุรกิจในเครือหลายๆ แห่ง ฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อปี 2540 มาได้ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีคนในตระกูล หอรุ่งเรือง เป็นผู้ถือหุ้นก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเดือดร้อน แถมยังมีกำไรด้วย
ปัจจุบัน บริษัท นครไทยสตริปมิล (เอ็นเอสเอ็ม) ที่เป็นหนี้มากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ถูกจับไปรวมกับกลุ่มจีสตีล ผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นรายใหญ่ในเครือ สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ขณะที่บริษัท เอ็น ทีเอส สตีล มูลหนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในแผนปรับโครงสร้างหนี้ ถูกจับไปรวมกับบริษัทเหล็กเส้นในเครือบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกขายให้กับบริษัททาทาสตีล (ประเทศไทย) ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย
สินทรัพย์ที่เหลือจริงๆ ที่พอจะชำระให้เจ้าหนี้ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการล้มละลายโดยสมบูรณ์แบบเป็นเวลา 3 ปี เป็นหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวในบริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งก็มีประมาณ 64 ล้านหุ้น นอกจากนั้นก็เป็นทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อเอาไปชำระหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง สวัสดิ์ บอกว่า เป็นหนี้ที่เขาสร้างเองประมาณ 10% ที่เหลือ 90% เป็นหนี้ค้ำประกันให้กับพรรคพวก
สวัสดิ์ บอกว่า หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเขาเองอาจจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ทรัพย์สินของตัวเองนั้นตอนนี้แทบไม่เหลือ อาจจะมีบางส่วนอยู่ในครอบครัวบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า "หอรุ่งเรือง" ไม่ได้มีเฉพาะ "สวัสดิ์" คนเดียว
"การทำธุรกิจของผม จะใช้วิธีการนำหุ้นของบริษัทที่เราทำไปจำนำ หรือจำนอง เพื่อหาเงินก้อนใหม่มาขยายธุรกิจ ซึ่งมันก็จะโยงกันไปโยงกันมาแบบนี้ แม้เราจะมีธุรกิจแสนล้านบาท แต่พ่อเราไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ 3 หมื่นล้านบาทซะที่ไหน เราเตาะแตะมาชั่วชีวิต จุดอ่อนมันมี เมื่อเราเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีข้อกำหนดผู้ประกอบการห้ามขายหุ้น เราก็มีวิธีเดียวคือตึ๊งหุ้น"
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องล้มละลายและชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป สวัสดิ์ ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม มีชีวิตชีวาตลอดเวลา ว่า "ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก ล้มละลายแล้วเรายังอยู่นอกคุก พวกเราชอบคิดลึกกันไปเอง อย่าไปยึดติด"
"ในชั่วโมงทำงานผมก็จะใช้ชีวิตอยู่กับออฟฟิศ มาทำโครงการนี้ โครงการต่อ ในชั่วโมงที่ดีที่สุดของชีวิต กับที่เลวที่สุด ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง" สวัสดิ์ กล่าว
"ผมทำงานอย่างเดียว เราทำงานโดยการสร้างธุรกิจหนึ่งขึ้นมา เมื่อมีกำไรก็เอาหุ้นไปขายบ้าง ไปจำนำบ้าง เพื่อไปทำโครงการอื่นๆ อีกขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ เมื่อบริษัทหนึ่งล้ม ก็ล้มตามกันไป แต่ถ้ารอดหมด ก็รวยไม่รู้เรื่องเหมือนกัน"
สวัสดิ์ บอกว่าแม้ตัวเองจะต้องล้มละลาย แต่ชีวิตการทำงานของตัวเองไม่ได้ถือว่าล้มเหลว เพราะด้วยข้อจำกัดทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ที่เขาเกิดมาในช่วงที่ดอกเบี้ยแพง ใช้เงินทุนของสถาบันการเงินมาทำธุรกิจ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด จึงอยากให้กำลังใจผู้ที่ต้องเผชิญหรือกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวเขาที่เชื่อว่ามีอยู่มากมายบนโลกนี้ อย่าไปท้อ อย่าไปสิ้นหวัง และที่สำคัญอย่าทิ้งความหวัง
"คนที่เจอเหตุการณ์ปี 2540 มาแล้ว ถึงวันนี้ไม่ยอมตาย เพราะพวกเขาสู้ ไม่ยอมหนีไปไหน และเขาก็รอดหมดทุกคน แต่เที่ยวนี้เหตุการณ์หนักกว่าตอนที่ผมตายอีก วันนี้แบงก์ไม่ยอมปล่อยกู้ ก็จะตายกันหมด สมัยผมที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ แบงก์ยังปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียนให้ เพราะแบงก์ได้กลายเป็นเจ้าของจากการแปลงหนี้เป็นทุน"
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง มีหนี้สินนับแสนล้านบาท แต่ด้วยปรัชญาการทำธุรกิจ ที่ไม่ยึดติดกับความเป็นเจ้าของ ทำงานทุกอย่างมีเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้ในวันนี้ สวัสดิ์ กำลังจะกลายเป็นคนปลอดหนี้ ยกเว้นหนี้ค้ำประกันส่วนบุคคล ที่เป็นกรรมเก่าที่เขาต้องมารับภาระในขณะนี้ แต่ 3 ปีจากนี้ไป เขาก็จะปลดบ่วงหนี้ได้
เขาบอกว่า หลังจากพ้นล้มละลายแล้ว ตัวเองก็พร้อมจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ต่อไป แต่ใช่ว่าช่วงนี้จะหยุดนิ่งไม่ทำงาน ยังคงต้องทำงานตลอด แต่จะไม่ทำอะไรที่มีผลผูกพันทางนิติกรรมต่างๆ
"ผมยังมีความฝัน แค่ 3 ปี (ระยะเวลาล้มละลาย) ผมแค่ล้มละลายทางธุรกิจ ผมล้มละลายทางการเมือง มันสมองความเป็นคนของผมไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ความเป็นมนุษย์ สติปัญญาไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนมาปรึกษาตลอด การทำธุรกิจหรือทำอะไร อย่าไปคิดถึงวันเกษียณ คุณอย่านำปัญหากลับบ้าน ทุกอย่างให้จบอยู่ที่ทำงาน หากคุณยังนำงานไปทำที่บ้าน ต่อให้หนุ่มแน่นแค่ไหน ไม่นานก็ตาย อย่าแบกปัญหากลับบ้าน"
สวัสดิ์ บอกว่า สิ่งที่เขาเป็นห่วงนักธุรกิจรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ ที่มีแรงต้านทานต่ำ และยังยึดติดกับเกียรติยศ หน้าตา และชื่อเสียง ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ลุกขึ้นสู้ กลายเป็นพันธนาการตัวเองให้ขาดอิสรภาพของชีวิต และที่สำคัญคนที่ล้มละลายที่กำลังคิดจะทำร้ายตัวเอง ให้กลับมาคิดใหม่ และต่อสู้อีกครั้ง
"การล้มละลายไม่ได้เสียอิสรภาพใดๆ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ให้ล้มไปแค่ 3 ปี แล้วเริ่มใหม่ อย่าให้เกิดขึ้นอีก ล้มละลายแค่ทำให้เราเสียหน้าและเกียรติยศ แต่วันนี้คนทั้งโลกเป็นเหมือนเราหมด เพราะฉะนั้นคนที่สู้เท่านั้นที่จะอยู่รอด"
สุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์
แม้จะถูกคำสั่งศาลล้มละลายให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็ก เจ้าของสมญานาม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อันลือลั่นสะท้านวงการการเงินเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ยังมีความภูมิใจเหลืออยู่ ที่สามารถนำพาธุรกิจในเครือหลายๆ แห่ง ฝ่าวิกฤติมรสุมเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อปี 2540 มาได้ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีคนในตระกูล หอรุ่งเรือง เป็นผู้ถือหุ้นก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเดือดร้อน แถมยังมีกำไรด้วย
ปัจจุบัน บริษัท นครไทยสตริปมิล (เอ็นเอสเอ็ม) ที่เป็นหนี้มากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ถูกจับไปรวมกับกลุ่มจีสตีล ผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นรายใหญ่ในเครือ สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ขณะที่บริษัท เอ็น ทีเอส สตีล มูลหนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในแผนปรับโครงสร้างหนี้ ถูกจับไปรวมกับบริษัทเหล็กเส้นในเครือบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกขายให้กับบริษัททาทาสตีล (ประเทศไทย) ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย
สินทรัพย์ที่เหลือจริงๆ ที่พอจะชำระให้เจ้าหนี้ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการล้มละลายโดยสมบูรณ์แบบเป็นเวลา 3 ปี เป็นหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวในบริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ซึ่งก็มีประมาณ 64 ล้านหุ้น นอกจากนั้นก็เป็นทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อเอาไปชำระหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง สวัสดิ์ บอกว่า เป็นหนี้ที่เขาสร้างเองประมาณ 10% ที่เหลือ 90% เป็นหนี้ค้ำประกันให้กับพรรคพวก
สวัสดิ์ บอกว่า หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเขาเองอาจจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า จริงๆ แล้วตอนนี้ทรัพย์สินของตัวเองนั้นตอนนี้แทบไม่เหลือ อาจจะมีบางส่วนอยู่ในครอบครัวบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า "หอรุ่งเรือง" ไม่ได้มีเฉพาะ "สวัสดิ์" คนเดียว
"การทำธุรกิจของผม จะใช้วิธีการนำหุ้นของบริษัทที่เราทำไปจำนำ หรือจำนอง เพื่อหาเงินก้อนใหม่มาขยายธุรกิจ ซึ่งมันก็จะโยงกันไปโยงกันมาแบบนี้ แม้เราจะมีธุรกิจแสนล้านบาท แต่พ่อเราไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ 3 หมื่นล้านบาทซะที่ไหน เราเตาะแตะมาชั่วชีวิต จุดอ่อนมันมี เมื่อเราเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีข้อกำหนดผู้ประกอบการห้ามขายหุ้น เราก็มีวิธีเดียวคือตึ๊งหุ้น"
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องล้มละลายและชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป สวัสดิ์ ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม มีชีวิตชีวาตลอดเวลา ว่า "ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก ล้มละลายแล้วเรายังอยู่นอกคุก พวกเราชอบคิดลึกกันไปเอง อย่าไปยึดติด"
"ในชั่วโมงทำงานผมก็จะใช้ชีวิตอยู่กับออฟฟิศ มาทำโครงการนี้ โครงการต่อ ในชั่วโมงที่ดีที่สุดของชีวิต กับที่เลวที่สุด ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง" สวัสดิ์ กล่าว
"ผมทำงานอย่างเดียว เราทำงานโดยการสร้างธุรกิจหนึ่งขึ้นมา เมื่อมีกำไรก็เอาหุ้นไปขายบ้าง ไปจำนำบ้าง เพื่อไปทำโครงการอื่นๆ อีกขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ เมื่อบริษัทหนึ่งล้ม ก็ล้มตามกันไป แต่ถ้ารอดหมด ก็รวยไม่รู้เรื่องเหมือนกัน"
สวัสดิ์ บอกว่าแม้ตัวเองจะต้องล้มละลาย แต่ชีวิตการทำงานของตัวเองไม่ได้ถือว่าล้มเหลว เพราะด้วยข้อจำกัดทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ที่เขาเกิดมาในช่วงที่ดอกเบี้ยแพง ใช้เงินทุนของสถาบันการเงินมาทำธุรกิจ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด จึงอยากให้กำลังใจผู้ที่ต้องเผชิญหรือกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวเขาที่เชื่อว่ามีอยู่มากมายบนโลกนี้ อย่าไปท้อ อย่าไปสิ้นหวัง และที่สำคัญอย่าทิ้งความหวัง
"คนที่เจอเหตุการณ์ปี 2540 มาแล้ว ถึงวันนี้ไม่ยอมตาย เพราะพวกเขาสู้ ไม่ยอมหนีไปไหน และเขาก็รอดหมดทุกคน แต่เที่ยวนี้เหตุการณ์หนักกว่าตอนที่ผมตายอีก วันนี้แบงก์ไม่ยอมปล่อยกู้ ก็จะตายกันหมด สมัยผมที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ แบงก์ยังปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียนให้ เพราะแบงก์ได้กลายเป็นเจ้าของจากการแปลงหนี้เป็นทุน"
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง มีหนี้สินนับแสนล้านบาท แต่ด้วยปรัชญาการทำธุรกิจ ที่ไม่ยึดติดกับความเป็นเจ้าของ ทำงานทุกอย่างมีเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้ในวันนี้ สวัสดิ์ กำลังจะกลายเป็นคนปลอดหนี้ ยกเว้นหนี้ค้ำประกันส่วนบุคคล ที่เป็นกรรมเก่าที่เขาต้องมารับภาระในขณะนี้ แต่ 3 ปีจากนี้ไป เขาก็จะปลดบ่วงหนี้ได้
เขาบอกว่า หลังจากพ้นล้มละลายแล้ว ตัวเองก็พร้อมจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ต่อไป แต่ใช่ว่าช่วงนี้จะหยุดนิ่งไม่ทำงาน ยังคงต้องทำงานตลอด แต่จะไม่ทำอะไรที่มีผลผูกพันทางนิติกรรมต่างๆ
"ผมยังมีความฝัน แค่ 3 ปี (ระยะเวลาล้มละลาย) ผมแค่ล้มละลายทางธุรกิจ ผมล้มละลายทางการเมือง มันสมองความเป็นคนของผมไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ความเป็นมนุษย์ สติปัญญาไม่ได้ล้มละลายไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนมาปรึกษาตลอด การทำธุรกิจหรือทำอะไร อย่าไปคิดถึงวันเกษียณ คุณอย่านำปัญหากลับบ้าน ทุกอย่างให้จบอยู่ที่ทำงาน หากคุณยังนำงานไปทำที่บ้าน ต่อให้หนุ่มแน่นแค่ไหน ไม่นานก็ตาย อย่าแบกปัญหากลับบ้าน"
สวัสดิ์ บอกว่า สิ่งที่เขาเป็นห่วงนักธุรกิจรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ ที่มีแรงต้านทานต่ำ และยังยึดติดกับเกียรติยศ หน้าตา และชื่อเสียง ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ลุกขึ้นสู้ กลายเป็นพันธนาการตัวเองให้ขาดอิสรภาพของชีวิต และที่สำคัญคนที่ล้มละลายที่กำลังคิดจะทำร้ายตัวเอง ให้กลับมาคิดใหม่ และต่อสู้อีกครั้ง
"การล้มละลายไม่ได้เสียอิสรภาพใดๆ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ให้ล้มไปแค่ 3 ปี แล้วเริ่มใหม่ อย่าให้เกิดขึ้นอีก ล้มละลายแค่ทำให้เราเสียหน้าและเกียรติยศ แต่วันนี้คนทั้งโลกเป็นเหมือนเราหมด เพราะฉะนั้นคนที่สู้เท่านั้นที่จะอยู่รอด"
สุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์
Subscribe to:
Comments (Atom)