Sunday, August 30, 2009

Economic value added a useful gauge

INVESTING

Economic value added a useful gauge
Writer: NANCHANOK WONGSAMUTH
Published: 31/08/2009 at 12:00 AM
Newspaper section: Business
Investors should look beyond net profits and consider alternative tools in assessing the potential value of a business, according to Aekkachai Nittayagasetwat, dean of the business school of the National Institute of Development Administration.

While most people tend to focus on net profit as a guide, Mr Aekkachai said economic profit should also be factored into any investment decision.

"If you say that this company's profit is good, you still can't really judge whether it is a good company or not. But if you look at its economic value added (EVA), and it's positive, then you can make a judgement right away," he said.

EVA in corporate finance is a means of determining the value created for shareholders. A company with a positive value means that net operating profits, after tax, is higher than the opportunity cost of capital employed.

"EVA is also a good indicator of the performance of a company's executives, and whether they are able to obtain good EVA figures, or if profits outweighs total costs [including opportunity costs]," Mr Aekkachai said.

Sukit Udomsirikul, a senior assistant managing director of Siam City Research Institute, agreed that net profits alone do not tell the whole story.

"Companies that have a good net profit might have a negative EVA," he said.

Mr Aekkachai said investors would also do well to consider market value added (MVA) as well in assessing company performance.

Market value-added is the difference between the market value of a company and the capital contributed by investors. A positive value indicates that the firm has added value for investors.

Mr Aekkachai said difficulty in identifying certain variables, such as opportunity costs, was one reason why EVA and MVA were not widely used in Thailand.

Companies listed on the Stock Exchange of Thailand with the highest EVA and MVA scores going back to 2002 include PTT Plc, PTT Exploration and Production, Siam Cement, Siam City Cement, Ratchaburi Electricity, BEC World and Bumrungrad.

Lower-profile companies with low MVA scores but high EVA include Univanich Palm Oil, Precious Shipping, BEC World, Workpoint Entertainment and SE-Education.

Mr Aekkachai said these smaller companies were often overlooked by investors, despite delivering higher economic profit than some larger firms.

"Thai investors should be ready. If we use only basic accounting tools, we will not be able to estimate actual performance," he said.

Monday, August 17, 2009

โลกในมุมมองของ Value Investor : การตัดสินใจครั้งสำคัญ

คนเราที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่การตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากไม่กี่เรื่อง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องนั้นนำไปสู่สิ่งที่ดีๆ ทั้งหลายที่ตามมา เช่น รวยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อนฝูงในแวดวงเดียวกัน หรือมีความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าจะเรียกให้เป็นศัพท์แสงที่เป็นวิชาการหรือเท่หน่อย ผมอยากจะเรียกว่าเป็น Strategic Decision หรือการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ของชีวิต
ว่าที่จริง Strategic Decision นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเรื่องใหญ่อื่นๆ เช่น ในเรื่องของธุรกิจนั้น การตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์บางอย่างหรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือกระบวนการในการทำงานบางอย่างที่สำคัญอาจจะเปลี่ยนแปลงภาพของบริษัทอย่างสิ้นเชิงและทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะที่การตัดสินใจมากมายอื่นๆ นั้น ไม่มีผลอะไรอย่างสำคัญกับตัวธุรกิจเลย

ในเรื่องของหุ้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ว่า เวลาจะลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น ให้คิดว่าในชีวิตนี้เรามีสิทธิที่จะซื้อได้เพียง 20 ตัว ดังนั้น เราก็จะต้องคิดหนักว่าเราจะซื้อตัวไหน เราจะต้องเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งสุดยอด มี “ป้อมค่ายและคูเมืองป้องกันข้าศึก” ที่ทนทานถาวร และกิจการจะต้องโตไปได้เรื่อยๆ เป็นสิบๆ ปี ถ้าคิดได้ดังนี้ การซื้อหุ้นแต่ละตัวของเราก็จะไม่ค่อยพลาด และผลตอบแทนก็จะน่าประทับใจ อย่าตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากมายไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้มักจะไม่สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตเรา เราควรตัดสินใจน้อยครั้งและเป็นครั้งสำคัญๆ เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซื้อหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิต แต่ผมเชื่อว่า อาจจะมีหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิตเท่านั้นที่สร้างความสำเร็จทั้งหมดในการลงทุนของเรา ส่วนหุ้นอื่นๆ อาจจะเป็นร้อยๆ ตัวนั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรกับผลการลงทุนของเราเลย ดังนั้น เราไปซื้อทำไม?

ในความคิดของผม ในชีวิตของคนเรานั้น มีจุดหรือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจแบบ Strategic Decision ไม่กี่เรื่องหรือไม่กี่ครั้ง ถ้าตัดสินใจถูก เราอาจจะ “สบายไปตลอด” หรือ “ประสบความสำเร็จงดงามไปเรื่อยๆ” หรือ “มีความสุขมาก” ไปอีกนาน ปัญหาที่พบก็คือ คนจำนวนมากไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่เป็น “การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต” ดังนั้น เขาไม่ได้ให้เวลาหรือให้การพิจารณาหรือวิเคราะห์อย่างเพียงพอ บางทีเขาก็อาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล ผลที่ตามมาก็คือ มันเป็นการตัดสินใจที่แย่และเขาก็ต้องรับกับความเลวร้าย หรือความสำเร็จพื้นๆ ไปตลอดไม่ว่าจะพยายามทำงานหรือต่อสู้มากแค่ไหน

การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตนั้น ถ้าจะไล่ลำดับตามช่วงอายุของคนก็น่าจะรวมถึงการศึกษา ซึ่งผมคิดว่าการเลือกสาขาที่เรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอน ถ้าเป็นเด็กที่มี “พรสวรรค์” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็ควรเลือกเรียนในแนวนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านไหน การเลือกเรียนในบางสาขาอาจจะทำให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้นมาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “คะแนนสอบ” เป็นตัวกำหนดสาขาที่เราจะเรียน

การแต่งงานเป็น Strategic Decision ที่สำคัญสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง เพราะความสุขและการประสบความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับคู่ของเรามาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “พรหมลิขิต” มากำหนดว่าเราจะแต่งงานกับใคร เราควรจะต้อง “แสวงหา” โดยการให้เวลากับการเรียนรู้กับคนที่เราคิดว่ามีโอกาสที่เราจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันยาวนาน บางคนบอกว่าอยากปล่อยให้เป็นไป “ตามธรรมชาติ” เขามักใช้เวลาไปกับ “งาน” ที่ ไม่ใช่ Strategic Decision ดังนั้น เขาอาจจะมีผลงานที่ดีในสายตาเจ้านาย แต่เขาอาจจะได้คู่ที่ไม่เหมาะสมหรืออาจจะไม่มีคู่เลย ผลก็คือ ชีวิตนี้อาจจะทำงานแทบตายแต่ไม่มีความสุขและมีเงินน้อยมาก ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้เศรษฐีนิสัยดีเป็นคู่ ซึ่งทำให้ชีวิตมีความสุขและมีเงินเหลือล้นโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก

งานที่ทำ ว่าที่จริงต้องพูดว่าสายงานที่เลือกทำเป็น Strategic Decision เลือกงานผิด ทำงานในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่โตและมีแนวโน้มค่อยๆ ตกต่ำลง อนาคตเราไม่ค่อยมีทางที่จะ “รุ่ง” ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน มันคงเหมือนการ “ว่ายทวนน้ำ” ที่จะไปได้ช้ามาก ดังนั้น ก่อนสมัครงาน คิดเสียก่อนว่าอนาคตของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ถ้าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงที่กำลังตกต่ำลงอย่างถาวร อย่าเข้าไปจะดีกว่า อย่าลืมว่า เราไม่ได้เป็น “ฮีโร่” แม้ว่าเราจะสามารถช่วยคนที่กำลังตายให้มีอายุยืดไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

สุดท้ายก็คือ การเลือกว่าเราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องไหนเป็นพิเศษ อะไรคือตัวตนของเราจริงๆ ในชีวิต พูดง่ายๆ เราอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไรเมื่อเราตายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อาจจะทำได้ยากพอสมควรทีเดียว เพราะประเด็นก็คือ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลามากในการทำหรือในการสร้างผลงาน มันต้องอาศัยการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของเราก่อน เสร็จแล้วก็ต้องเลือกว่าเราจะเป็นอะไร หลังจากนั้นเราก็ต้องเริ่มทำและทำไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นสิบๆ ปีก่อนที่เราจะบรรลุถึงสิ่งที่เราตั้งธงไว้ ดังนั้น Strategic Decision เรื่องนี้จึงต้องพยายามทำตั้งแต่อายุน้อยที่สุดที่จะทำได้ ยิ่งเราค้นพบได้เร็วเท่าไรก็มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่เราจะประสบความสำเร็จ

ผมคงจบบทความนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า การลงทุนในหุ้นนั้น เป็น Strategic Decision ที่สำคัญสำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการจะมีความมั่งคั่งทางการเงิน ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น มีความสำคัญมาก อย่าปล่อยให้ความกลัวในเรื่อง “ความเสี่ยง” กำหนดการลงทุนของเรา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ Value Investor : การตัดสินใจครั้งสำคัญ

คนเราที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ผมคิดว่าอยู่ที่การตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมากไม่กี่เรื่อง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องนั้นนำไปสู่สิ่งที่ดีๆ ทั้งหลายที่ตามมา เช่น รวยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อนฝูงในแวดวงเดียวกัน หรือมีความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าจะเรียกให้เป็นศัพท์แสงที่เป็นวิชาการหรือเท่หน่อย ผมอยากจะเรียกว่าเป็น Strategic Decision หรือการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ของชีวิต
ว่าที่จริง Strategic Decision นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากในเรื่องใหญ่อื่นๆ เช่น ในเรื่องของธุรกิจนั้น การตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์บางอย่างหรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือกระบวนการในการทำงานบางอย่างที่สำคัญอาจจะเปลี่ยนแปลงภาพของบริษัทอย่างสิ้นเชิงและทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะที่การตัดสินใจมากมายอื่นๆ นั้น ไม่มีผลอะไรอย่างสำคัญกับตัวธุรกิจเลย

ในเรื่องของหุ้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ว่า เวลาจะลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น ให้คิดว่าในชีวิตนี้เรามีสิทธิที่จะซื้อได้เพียง 20 ตัว ดังนั้น เราก็จะต้องคิดหนักว่าเราจะซื้อตัวไหน เราจะต้องเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งสุดยอด มี “ป้อมค่ายและคูเมืองป้องกันข้าศึก” ที่ทนทานถาวร และกิจการจะต้องโตไปได้เรื่อยๆ เป็นสิบๆ ปี ถ้าคิดได้ดังนี้ การซื้อหุ้นแต่ละตัวของเราก็จะไม่ค่อยพลาด และผลตอบแทนก็จะน่าประทับใจ อย่าตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากมายไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้มักจะไม่สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตเรา เราควรตัดสินใจน้อยครั้งและเป็นครั้งสำคัญๆ เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซื้อหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิต แต่ผมเชื่อว่า อาจจะมีหุ้นเพียง 20 ตัวในชีวิตเท่านั้นที่สร้างความสำเร็จทั้งหมดในการลงทุนของเรา ส่วนหุ้นอื่นๆ อาจจะเป็นร้อยๆ ตัวนั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรกับผลการลงทุนของเราเลย ดังนั้น เราไปซื้อทำไม?

ในความคิดของผม ในชีวิตของคนเรานั้น มีจุดหรือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจแบบ Strategic Decision ไม่กี่เรื่องหรือไม่กี่ครั้ง ถ้าตัดสินใจถูก เราอาจจะ “สบายไปตลอด” หรือ “ประสบความสำเร็จงดงามไปเรื่อยๆ” หรือ “มีความสุขมาก” ไปอีกนาน ปัญหาที่พบก็คือ คนจำนวนมากไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่เป็น “การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต” ดังนั้น เขาไม่ได้ให้เวลาหรือให้การพิจารณาหรือวิเคราะห์อย่างเพียงพอ บางทีเขาก็อาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล ผลที่ตามมาก็คือ มันเป็นการตัดสินใจที่แย่และเขาก็ต้องรับกับความเลวร้าย หรือความสำเร็จพื้นๆ ไปตลอดไม่ว่าจะพยายามทำงานหรือต่อสู้มากแค่ไหน

การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตนั้น ถ้าจะไล่ลำดับตามช่วงอายุของคนก็น่าจะรวมถึงการศึกษา ซึ่งผมคิดว่าการเลือกสาขาที่เรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอน ถ้าเป็นเด็กที่มี “พรสวรรค์” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็ควรเลือกเรียนในแนวนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านไหน การเลือกเรียนในบางสาขาอาจจะทำให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้นมาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “คะแนนสอบ” เป็นตัวกำหนดสาขาที่เราจะเรียน

การแต่งงานเป็น Strategic Decision ที่สำคัญสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง เพราะความสุขและการประสบความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับคู่ของเรามาก ดังนั้น อย่าปล่อยให้ “พรหมลิขิต” มากำหนดว่าเราจะแต่งงานกับใคร เราควรจะต้อง “แสวงหา” โดยการให้เวลากับการเรียนรู้กับคนที่เราคิดว่ามีโอกาสที่เราจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันยาวนาน บางคนบอกว่าอยากปล่อยให้เป็นไป “ตามธรรมชาติ” เขามักใช้เวลาไปกับ “งาน” ที่ ไม่ใช่ Strategic Decision ดังนั้น เขาอาจจะมีผลงานที่ดีในสายตาเจ้านาย แต่เขาอาจจะได้คู่ที่ไม่เหมาะสมหรืออาจจะไม่มีคู่เลย ผลก็คือ ชีวิตนี้อาจจะทำงานแทบตายแต่ไม่มีความสุขและมีเงินน้อยมาก ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้เศรษฐีนิสัยดีเป็นคู่ ซึ่งทำให้ชีวิตมีความสุขและมีเงินเหลือล้นโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก

งานที่ทำ ว่าที่จริงต้องพูดว่าสายงานที่เลือกทำเป็น Strategic Decision เลือกงานผิด ทำงานในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่โตและมีแนวโน้มค่อยๆ ตกต่ำลง อนาคตเราไม่ค่อยมีทางที่จะ “รุ่ง” ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน มันคงเหมือนการ “ว่ายทวนน้ำ” ที่จะไปได้ช้ามาก ดังนั้น ก่อนสมัครงาน คิดเสียก่อนว่าอนาคตของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ถ้าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงที่กำลังตกต่ำลงอย่างถาวร อย่าเข้าไปจะดีกว่า อย่าลืมว่า เราไม่ได้เป็น “ฮีโร่” แม้ว่าเราจะสามารถช่วยคนที่กำลังตายให้มีอายุยืดไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

สุดท้ายก็คือ การเลือกว่าเราจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องไหนเป็นพิเศษ อะไรคือตัวตนของเราจริงๆ ในชีวิต พูดง่ายๆ เราอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไรเมื่อเราตายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อาจจะทำได้ยากพอสมควรทีเดียว เพราะประเด็นก็คือ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลามากในการทำหรือในการสร้างผลงาน มันต้องอาศัยการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของเราก่อน เสร็จแล้วก็ต้องเลือกว่าเราจะเป็นอะไร หลังจากนั้นเราก็ต้องเริ่มทำและทำไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นสิบๆ ปีก่อนที่เราจะบรรลุถึงสิ่งที่เราตั้งธงไว้ ดังนั้น Strategic Decision เรื่องนี้จึงต้องพยายามทำตั้งแต่อายุน้อยที่สุดที่จะทำได้ ยิ่งเราค้นพบได้เร็วเท่าไรก็มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่เราจะประสบความสำเร็จ

ผมคงจบบทความนี้ไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า การลงทุนในหุ้นนั้น เป็น Strategic Decision ที่สำคัญสำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการจะมีความมั่งคั่งทางการเงิน ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น มีความสำคัญมาก อย่าปล่อยให้ความกลัวในเรื่อง “ความเสี่ยง” กำหนดการลงทุนของเรา

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Monday, August 3, 2009

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : คิดเชิงกลยุทธ์

Value Investor ระดับเซียน ผมคิดว่าต้องเป็น "นักคิด" ที่เฉียบคม และการคิด ต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เป็นการคิดเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้ การแข่งขัน ที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายหนึ่งแพ้ หรือใครจะนำและใครจะตาม "ตำแหน่ง" ของใครดีกว่าตำแหน่งของคนอื่น และทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งขัน
ว่าที่จริง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นคนคิดว่า จะต้องใช้กลยุทธ์อะไร เขาเพียงแต่ต้องรู้ หรือดูให้เป็นว่ากลยุทธ์ หรือตำแหน่งของใครเป็นอย่างไร และดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เขาคิดและ "ตัดสิน" ว่าใครจะชนะ หรือใครได้เปรียบและอนาคตจะเป็นอย่างไร ความคิดของเขามักจะถูกมากกว่าผิด เพราะมันเป็นความคิดที่มีเหตุผลและมีหลักวิชาการที่ถูกต้อง

ความคิดที่มีเหตุผล และเป็นเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่าต้องมีการฝึกฝน และบางทีอาจเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวด้วย ดูอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอง เขาชอบเล่นบริดจ์เป็นชีวิตจิตใจ และเล่นได้เก่งมากทีเดียว บริดจ์นั้นเป็นเกมที่ต้องใช้ทั้งความคิด และความจำ และต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม การที่เขาชอบเล่นเกมนี้เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งว่า เขาชอบ "การคิดและการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้ได้ชัยชนะในการแข่งขัน"

ส่วนตัวผม เมื่อมองย้อนหลังไปในช่วงที่ยังเป็นเด็ก ผมชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับความคิด และการแข่งขันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือ การเล่นหมากรุกจีน ซึ่งผมจะเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ และเมื่อเล่นแล้ว ผมแทบจะลืมกินอาหาร

หมากรุกนั้น เป็นเกมการแข่งขันที่ต้องใช้การวางแผน โดยแผนที่ดี ต้องมีการมองไปข้างหน้าหลายๆ ก้าว นอกจากการวางแผนเพื่อเอาชนะแล้ว คนเล่นยังต้องคอยระวังและป้องกันการ "รุก" ของคู่ต่อสู้ด้วย ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหมากรุกที่ยอดเยี่ยมอะไร แต่ทุกวันนี้เมื่อมีเวลาว่าง ผมก็ยังเล่นหมากรุกจีนอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากหมากรุกจีน คนที่เล่นกันในปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีน้อยมากและต่างก็อายุมากกันแล้ว

การเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดในเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่า นอกจากจะช่วยทำให้เราคิดเก่งในการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์แล้ว ยังช่วยลับสมองเราไม่ให้เสื่อมถอยเร็วเกินไปเวลาเราแก่ตัวลงด้วย และเกมที่ผมคิดว่าช่วยฝึกสมองให้คิดแบบเชิงกลยุทธ์เราได้นั้น นอกจากบริดจ์และหมากรุกทุกประเภทแล้ว ยังน่าจะรวมถึงเกมโกะ และโมโนโปลี่

ส่วนเกมอย่างหมากฮอส หรือการเล่นไพ่อย่างเกมไพ่รัมมี่ ถึงจะต้องใช้การวางกลยุทธ์บ้าง แต่ผมคิดว่ามันยังใช้ไม่มากพอ นอกจากนั้น เกมใช้สมองอย่างอื่น เช่น เกมต่ออักษรให้เป็นคำที่เรียกว่า Cross Words หรือเกมเรียงตัวเลขอย่างซูโดกุ ผมคิดว่าไม่ใช่เกมที่ใช้กลยุทธ์เป็นหลักในการเล่น ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของการลงทุน

ลำพังการมีความสามารถเล่นเกมต่างๆ ดังกล่าวคงไม่เป็นประโยชน์กับการลงทุน นักลงทุนที่จะเก่ง ต้องคิดไปถึงเรื่องของกลยุทธ์การต่อสู้และการแข่งขันใน "ชีวิตจริง" โดยเฉพาะทางธุรกิจ การจะมีความสามารถอย่างนั้นได้ นอกจากความสามารถในการคิดแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ "วิชาการ" นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องศึกษา และต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการต่อสู้และการแข่งขันต่างๆ ให้มาก

การแข่งขันหรือการต่อสู้ที่ต้องใช้กลยุทธ์ นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสงคราม การเมือง และเชื่อไหมครับว่า เป็นเรื่องของชีวิตของเราแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง หรือคนธรรมดา ถ้าเราคิดเป็นแบบกลยุทธ์ เราก็จะเห็นว่าใครใช้กลยุทธ์อย่างไรและเขา "ชนะ" เพราะเหตุใด

ถ้าเราอ่าน หรือศึกษาโดยไม่ได้คิดแบบเชิงกลยุทธ์ เราก็จะอ่านผ่านๆ ไป และอาจคิดไปว่าคนชนะนั้น เป็นไปเพราะเหตุผลต่างๆ เช่น เขาเก่ง เขาฉลาด เขาสวยหรือหล่อ หรือแม้แต่เพราะเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "โชค"

ถ้าเราฝึกฝนการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อยู่เสมอ เราจะมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นแบบเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เรามักจะถามเสมอว่าอะไร หรือกลยุทธ์อะไรที่ทำให้คนหนึ่ง "ชนะ" อีกคนหนึ่ง "แพ้" บริษัทหนึ่งชนะและอีกบริษัทหนึ่งแพ้ องค์กรหนึ่งชนะและอีกองค์กรหนึ่งแพ้ ประเทศหนึ่งชนะและอีกประเทศหนึ่งแพ้

ดังนั้นเราจะเห็นถึงความได้เปรียบ และความเสียเปรียบของคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้ รวมทั้งรู้ว่าอะไรเป็นความได้เปรียบ "ชั่วคราว" และอะไรเป็นความได้เปรียบ "ถาวร" และนี่ก็คือสิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียกว่า Durable Competitive Advantage หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ในการลงทุนในหุ้นสุดยอดสไตล์บัฟเฟตต์

ส่วนคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการคิดเชิงกลยุทธ์ และวิชาการเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขัน ผมแนะนำว่า ควรเริ่มจากการอ่าน หนังสือกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่คนที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายได้อย่างเข้าใจง่ายและสั้น ก็คือ อัลรีส (Al Ries) ซึ่งเสียชีวิตแล้ว และแจ็คเทราท์ (Jack Trout) ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การวางตำแหน่งของบริษัทในการแข่งขัน และกลยุทธ์ต่างๆ ที่ธุรกิจใช้ในการต่อสู้กัน

หลังจากเข้าใจเรื่องกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการตลาดแล้ว เราจะเข้าใจกลยุทธ์ในเรื่องอื่นๆ อีกมาก และถ้าเราหมั่นฝึกฝนการคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเข้าใจ "เบื้องหลัง" ความสำเร็จและความล้มเหลวของแต่ละบริษัทหรือแต่ละคน และนั่นจะนำไปสู่การเลือกหุ้นลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR : คิดเชิงกลยุทธ์

Value Investor ระดับเซียน ผมคิดว่าต้องเป็น "นักคิด" ที่เฉียบคม และการคิด ต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เป็นการคิดเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้ การแข่งขัน ที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายหนึ่งแพ้ หรือใครจะนำและใครจะตาม "ตำแหน่ง" ของใครดีกว่าตำแหน่งของคนอื่น และทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งขัน
ว่าที่จริง นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นคนคิดว่า จะต้องใช้กลยุทธ์อะไร เขาเพียงแต่ต้องรู้ หรือดูให้เป็นว่ากลยุทธ์ หรือตำแหน่งของใครเป็นอย่างไร และดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เขาคิดและ "ตัดสิน" ว่าใครจะชนะ หรือใครได้เปรียบและอนาคตจะเป็นอย่างไร ความคิดของเขามักจะถูกมากกว่าผิด เพราะมันเป็นความคิดที่มีเหตุผลและมีหลักวิชาการที่ถูกต้อง

ความคิดที่มีเหตุผล และเป็นเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่าต้องมีการฝึกฝน และบางทีอาจเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวด้วย ดูอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอง เขาชอบเล่นบริดจ์เป็นชีวิตจิตใจ และเล่นได้เก่งมากทีเดียว บริดจ์นั้นเป็นเกมที่ต้องใช้ทั้งความคิด และความจำ และต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม การที่เขาชอบเล่นเกมนี้เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งว่า เขาชอบ "การคิดและการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อให้ได้ชัยชนะในการแข่งขัน"

ส่วนตัวผม เมื่อมองย้อนหลังไปในช่วงที่ยังเป็นเด็ก ผมชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับความคิด และการแข่งขันหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือ การเล่นหมากรุกจีน ซึ่งผมจะเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ และเมื่อเล่นแล้ว ผมแทบจะลืมกินอาหาร

หมากรุกนั้น เป็นเกมการแข่งขันที่ต้องใช้การวางแผน โดยแผนที่ดี ต้องมีการมองไปข้างหน้าหลายๆ ก้าว นอกจากการวางแผนเพื่อเอาชนะแล้ว คนเล่นยังต้องคอยระวังและป้องกันการ "รุก" ของคู่ต่อสู้ด้วย ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหมากรุกที่ยอดเยี่ยมอะไร แต่ทุกวันนี้เมื่อมีเวลาว่าง ผมก็ยังเล่นหมากรุกจีนอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เนื่องจากหมากรุกจีน คนที่เล่นกันในปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีน้อยมากและต่างก็อายุมากกันแล้ว

การเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดในเชิงกลยุทธ์ ผมคิดว่า นอกจากจะช่วยทำให้เราคิดเก่งในการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์แล้ว ยังช่วยลับสมองเราไม่ให้เสื่อมถอยเร็วเกินไปเวลาเราแก่ตัวลงด้วย และเกมที่ผมคิดว่าช่วยฝึกสมองให้คิดแบบเชิงกลยุทธ์เราได้นั้น นอกจากบริดจ์และหมากรุกทุกประเภทแล้ว ยังน่าจะรวมถึงเกมโกะ และโมโนโปลี่

ส่วนเกมอย่างหมากฮอส หรือการเล่นไพ่อย่างเกมไพ่รัมมี่ ถึงจะต้องใช้การวางกลยุทธ์บ้าง แต่ผมคิดว่ามันยังใช้ไม่มากพอ นอกจากนั้น เกมใช้สมองอย่างอื่น เช่น เกมต่ออักษรให้เป็นคำที่เรียกว่า Cross Words หรือเกมเรียงตัวเลขอย่างซูโดกุ ผมคิดว่าไม่ใช่เกมที่ใช้กลยุทธ์เป็นหลักในการเล่น ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของการลงทุน

ลำพังการมีความสามารถเล่นเกมต่างๆ ดังกล่าวคงไม่เป็นประโยชน์กับการลงทุน นักลงทุนที่จะเก่ง ต้องคิดไปถึงเรื่องของกลยุทธ์การต่อสู้และการแข่งขันใน "ชีวิตจริง" โดยเฉพาะทางธุรกิจ การจะมีความสามารถอย่างนั้นได้ นอกจากความสามารถในการคิดแล้ว สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ "วิชาการ" นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องศึกษา และต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการต่อสู้และการแข่งขันต่างๆ ให้มาก

การแข่งขันหรือการต่อสู้ที่ต้องใช้กลยุทธ์ นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสงคราม การเมือง และเชื่อไหมครับว่า เป็นเรื่องของชีวิตของเราแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง หรือคนธรรมดา ถ้าเราคิดเป็นแบบกลยุทธ์ เราก็จะเห็นว่าใครใช้กลยุทธ์อย่างไรและเขา "ชนะ" เพราะเหตุใด

ถ้าเราอ่าน หรือศึกษาโดยไม่ได้คิดแบบเชิงกลยุทธ์ เราก็จะอ่านผ่านๆ ไป และอาจคิดไปว่าคนชนะนั้น เป็นไปเพราะเหตุผลต่างๆ เช่น เขาเก่ง เขาฉลาด เขาสวยหรือหล่อ หรือแม้แต่เพราะเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "โชค"

ถ้าเราฝึกฝนการคิดอย่างเป็นกลยุทธ์อยู่เสมอ เราจะมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นแบบเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ เรามักจะถามเสมอว่าอะไร หรือกลยุทธ์อะไรที่ทำให้คนหนึ่ง "ชนะ" อีกคนหนึ่ง "แพ้" บริษัทหนึ่งชนะและอีกบริษัทหนึ่งแพ้ องค์กรหนึ่งชนะและอีกองค์กรหนึ่งแพ้ ประเทศหนึ่งชนะและอีกประเทศหนึ่งแพ้

ดังนั้นเราจะเห็นถึงความได้เปรียบ และความเสียเปรียบของคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้ รวมทั้งรู้ว่าอะไรเป็นความได้เปรียบ "ชั่วคราว" และอะไรเป็นความได้เปรียบ "ถาวร" และนี่ก็คือสิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียกว่า Durable Competitive Advantage หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ในการลงทุนในหุ้นสุดยอดสไตล์บัฟเฟตต์

ส่วนคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการคิดเชิงกลยุทธ์ และวิชาการเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขัน ผมแนะนำว่า ควรเริ่มจากการอ่าน หนังสือกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่คนที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายได้อย่างเข้าใจง่ายและสั้น ก็คือ อัลรีส (Al Ries) ซึ่งเสียชีวิตแล้ว และแจ็คเทราท์ (Jack Trout) ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตลาด การวางตำแหน่งของบริษัทในการแข่งขัน และกลยุทธ์ต่างๆ ที่ธุรกิจใช้ในการต่อสู้กัน

หลังจากเข้าใจเรื่องกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการตลาดแล้ว เราจะเข้าใจกลยุทธ์ในเรื่องอื่นๆ อีกมาก และถ้าเราหมั่นฝึกฝนการคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเข้าใจ "เบื้องหลัง" ความสำเร็จและความล้มเหลวของแต่ละบริษัทหรือแต่ละคน และนั่นจะนำไปสู่การเลือกหุ้นลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร